ธันวาคม 26, 2549

คิดถึงเมกา

นั่งนิ่ง นึกภาพเก่า มะริกา เมืองเก่าที่เคยอยู่
นึกถึงชายทะเล Bridgeport ยามหน้าหนาว ลมแรงพัดกลิ่นไอเกลือจากน้ำทะเลเข้าปะทะใบหน้า หรือโรงยิมที่มหาวิทยาลัย และคนดูแล (ฝรั่งไว้หนวดอายุพอควร(แก่)) สระน้ำอุ่น ขนาดมาตรฐาน ยาวพอดีๆ ที่ห้องอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ชาย มีแต่คนแก้ผ้าอาบน้ำกันไม่อายฟ้าดิน โตงเตงไปมา (แต่ห้องหญิงไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเข้าไป) ร้านอาหารจีน ที่รสชาติไม่ดี เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพ อาหารแต่ละอย่างมันๆทั้งนั้น แต่กินทีไรก็อิ่มทีนั้น เพราะเยอะจัด เมนูที่สั่งบ่อยคือ ข้าวไข่เจียวกุ้ง ราดน้ำซ้อสข้นๆเหนียวๆ อร่อยดีนะครับ ไม่คิดว่าจะได้กินไข่เจียวที่อเมริกาจากร้านอาหารที่ไม่ใช่อาหารไทย เพราะไข่เจียว คนอเมริกาไม่ทำกิน เขาทำ แสครมเบิลเอ้ก หรือไข่คน เอาไข่มาตีๆ เละๆ ไม่ใช่ไข่เจียว รสชาติก็ไม่อร่อยเท่าด้วย
คิดถึงร้านขายซีดี ที่ชอบไปแวะเรื่อยๆ ก็มี บาร์น แอน โนเบล กับเบสต์ บาย หรือไกลหน่อย ก็ไป ทาวเวอร์ เรคคอร์ด ซึ่งจะมีซีดี เพลงที่หายากๆหน่อยเยอะ
คิดถึงเจ้ารถ ฟอร์ด เอสคอร์ต อายุ 10 ปี มือสอง ที่ซื้อต่อจากเจ้าของที่เป็นคนแก่ จำไม่ผิด ซื้อมา 2,600 เหรียญ มั้ง (หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย) รถคันนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ใช้มันเยอะคุ้มสุดๆ สภาพมันก็จะผุๆหน่อย จำได้เลย ตอนหุยมาเที่ยวครั้งที่สอง ขับมันไปรับหุยที่สนามบิน เจเอฟเค ปรากฏว่า ขากลับ ดันเสียกลางทาง บนทางไอ นายตี้ไฟฟ เสียนี่ (I-95) ตอนนั้น เครียดเลย เพราะเพื่อนคนไทยก็ไม่อยู่พอที่จะช่วยเหลือ ต้องติดต่อรถลากเอง หาที่พักชั่วคราว รอให้รถซ่อมเสร็จ เสียไปหลาย ยังดีที่ได้เพื่อนชาวไต้หวันที่ชื่อโจ (มู หมิง หลิน) ขับมาเป็นสารถี พาไปโน่นนี่ (ตอนหลังโจยืมเงินผมไป 500 เหรียญแล้วไม่คืน ก็ถือว่าเป็นค่าจ้างแล้วกันเนอะ T_T)
คิดถึงคาสิโน ที่ Connecticut มีสองแห่งที่เคยไป ชื่อ โมฮีแกน ซัน กับ อีกอันชื่อไรหว่า ลืมๆและ
คิดถึงสวนสนุก จำชื่อและเมืองไม่ได้แล้วอะ แต่ไม่ใหญ่มาก จัดตามเทศกาล จำได้ว่า พี่โอมชวนไปมั้ง ไม่แน่ใจ แต่ก็สนุกดี มีแบบ โยนตัวลงมาเหมือนบันจี้จัมพ์ด้วย แต่ไม่ได้เล่น (ทั้งแพง และไม่กล้า)
คิดถึงนิวยอร์ค อันนี้แน่นอน ขาดไม่ได้ เป็นเมืองที่อุดมไปด้วยความเจริญก้าวหน้า ทางศิลปะ และเทคโนโลยี ที่สำคัญ มีแหล่งให้ซื้อของหลากหลายมากมาย รู้สึกตัวเองโชคดีที่ได้มาเรียน ใกล้ๆ นิวยอร์คซิตี้ ถึงไม่ได้อยู่ในตัวเมืองก็ตาม แต่ถ้าเลือกได้ ก็คงไม่อยู่หรอก ให้อยู่ คงไม่ชอบ แต่ให้อยู่ใกล้ๆ มาเมื่อไหร่ ขับรถไม่เกินชั่วโมงเนี่ย ชอบ
คิดถึงเคปคอด (Cape Cod) ไปเที่ยวกับหุย ก่อนกลับเมืองไทย เมืองชายทะเลหรู สำหรับพวกคนรวยของอเมริกา ประทับใจไม่หายกับการเป็นกระเหรี่ยงเหลืองสองคน เข้าไปนั่งร้าน Lobster แบบบ้านๆ ที่อเมริกันมากๆ หรูหราแบบคนรวยอเมริกัน โดยไม่แคร์สายตาคนมอง (รู้สึกต่ำต้อยจัง แต่ก็มันดี) จำได้ว่า ตอนไป เป็นหน้าที่คนไปเที่ยวกัน คนเยอะมากๆ ไม่มีที่พัก สุดท้ายต้องกลับมาพัก ตีนสะพานทางเข้า Cape Cod เป็นเหมือนห้องแถวเล็กๆริมถนนสุดๆ
คิดถึงตอนไปเที่ยว whale watcher นั่งเรือไปไกล ลมเย็นตีหน้า ซื้อเบีย กระป๋องละ 5 เหรียญมั้ง นั่งถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ เป็นทริป ตอนไปเคปคอดแหล่ะ
คิดถึงตอนขับรถไปกว่า 3 พันกิโล เที่ยวทั่วลง Florida ขับรถไกลมาก ยาวมาก ง่วงมาก หลงทางก็มี ประทับใจมาก ไม่คิดว่าจะเกิดบ่อยๆในชีวิตนี้ เพราะคนเราย่อมมีโอกาสทำอะไรแบบนั้นไม่มาก ก็ชอบนะ เจ้าฟอร์ด เอสคอร์ด สีเขียวเก่าผุ ที่ได้รับการซ่อมแซมเปลี่ยนล้อ (โดยสิงโตเปลี่ยนให้) ทำให้มันวิ่งไหว ทั้งๆที่มันควรหอบสลบไปตั้งแต่ถึงน้ำตก ไนแองกาล่าแล้ว (วิ่งไปในแองกาล่า ก่อนวิ่งลงฟลอลิด้า) เป็นการขับรถที่ไกลที่สุดในชีวิตเท่าที่เกิดมาเลยครับ
ปล. วันนี้กล้อมแกล้มเอาแค่นี้ก่อนนะ วันหลังมาว่าต่อ

ธันวาคม 22, 2549

งานปีใหม่ประจำปี

วันนี้ ตอนเย็น ที่บริษัทจะจัดงานปีใหม่
สถานที่จัดคือชั้น 30 ของอาคาร
ดีจัง ได้กินฟรีอีกละ :P
แต่สงสัยต้องขึ้นไปเขย่าไข่ด้วยแฮะ
(ไม่น่าหาเรื่องเลย)

ธันวาคม 21, 2549

ลูกสาวอึไม่ออก

น้องเฟย์สุดที่รักของผม อึไม่ออกครับ ท้องผูก ทำไงดี ให้ทานนมแม่ด้วยนะ ไม่ใช่นมผงอย่างเดียว เนี่ย คุณหมอที่รพ กรุงเทพ ให้ผสม นมญี่ปุ่น กับนมที่ใช้ (แพงกว่า) อย่างละครึ่งๆ ก็เพิ่งลองดู ไม่รู้จะช่วยปล่าว สงสารลูก อายุเพิ่งสองเดือนหนึ่งวัน ก็ต้องท้องผูก ไม่อึทุกวันเสียแล้ว T_T

ธันวาคม 20, 2549

นางฟ้า

นางฟ้า เปิดปีก แผ่ปีก ปกคลุม ผมยาว
บินร่อนลงมา สู่พื้นดิน ที่ผมเหยียบย่ำ
เธอยื่นมือให้ผม ผมคว้ามือเธอมาจับ
ลากมือเธอมากุมที่หัวใจ

ผมอยากให้เธอพาผมบินไปบนฟ้า
อยากให้เธอโอบกอดผม ไร้อาภรณ์ใด
ฟ้าเปลี่ยนแปลง เปิดทางสู่สวรรค์
เราโผบินขึ้นไปสู่สวรรค์
ความรักของผมกับนางฟ้า เปิดฉากขึ้นบนนั้น
และจบลงเมื่อเราสองคนไปถึงสวรรค์
และเธอพาผมลงมาสู่พื้นดินอีกครั้งอย่างปลอดภัย 

หนังเรื่องแรกที่ดูกับแฟน

จำได้ไหม ว่าคุณดูหนังเรื่องแรกกับแฟนคุณเรื่องอะไร
แฟนคนแรก แฟนคนที่สอง .. แฟนคนปัจจุบัน

กับแฟนคนแรก "Toy Story"
แฟนคนที่สอง (ภรรยา) "Titanic"

ใครจำเรื่องพวกนี้ได้ ผมคิดว่า เป็นคนความจำดี
และก็เป็นคนโรแมนติกดีนะครับ

หมั่นรักษาสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่เกี่ยวกับคู่ชีวิตของคุณ
กันเถอะครับ

ธันวาคม 19, 2549

มองไปบนนั้น

ผมได้ยินเสียงร้องเรียกจากปุยเมฆที่ลอยอยู่ข้างบนนั้น
เสียงที่ว่าเป็นเสียงของเธอ
ผมยกมือโบกไปมา ให้เธอรู้ว่าผมอยู่ที่นี่เสมอ
เธอมองลงมาจะเห็นผมเสมอ ผมเงยหน้ายิ้มให้กับท้องฟ้า

สายลมหน้าหนาวเดือนธันวาคม บอกผมว่า เธอสบายดี
ลมปะทะใบหน้า เสียงจอแจของรถยนต์บนถนน
ผมเดินเลียบทางเดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้สะพายเป้
ในหัวผมนึกถึงเธอ บนฟ้าไกล แสนไกล
ผมคิดถึงเธอตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เธอคือคนที่อยู่ในใจผมเสมอ และผมจะพบเธอได้
เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไป หรือเวลาที่สายลมพัดปะทะใบหน้า

เสียงเพรียกหาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ความเหงาที่เกิดจากภาพไม่ได้ปรากฎให้เห็นจริง
เรายังคงว่ายเวียนในกองทุกข์
ไฉนเลยจะเข้าใจถึงความสุขได้

ผมหลับตาลง หยุดเดิน ดึงหูฟังออกจากหู เอามือปาดน้ำตา
"เราไม่มีวันลืมเธอ"

ผมคิด...

ธันวาคม 18, 2549

ความทรงจำ...โปรเจค...หลักประกัน

ผมถูกมอบหมายให้ดูเรื่องใหม่
.................................................
วันนั้น จำได้ว่า ถูกเรียกไปประชุมเรื่อง
ระบบหลักประกัน หรือ คอลแลตเทอรอล
ไม่กี่วัน หลังจากเฟสสอง โกไลฟ ไป
ฝรั่งถูกเชิญมา ผมเข้าไปฟัง ฝรั่งอธิบาย
เขาพยายามทำให้ระบบมาตรฐาน มาประยุกต์
เพื่อลดจำนวนการสร้าง หรือคัสตอมไมซ์ลง
โดยพยายามจับนู่นผสมนี่เข้าด้วยกัน
ผม ตอนนั้น ยังใหม่อยู่ ก็ได้แต่งงๆ
ไม่ค่อยเข้าใจ สิ่งที่ฝรั่งพูด

แต่สรุปท้ายสุด เราไม่ใช่ระบบมาตฐานเดิม
แต่เราจะสร้างมันใหม่ทั้งหมด เรียกว่าสร้างทุกอย่าง
กันใหม่หมดเลย ตั้งแต่แบคจนฟรอนท์ (หน้าจอ)

ตามเทคนิคอลเสป๊ก ที่ได้มาเมื่อหลายปีก่อน
ก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานที่นี่อีก ผมออกแบบสร้าง
ฐานข้อมูลใหม่ สำหรับรองรับความต้องการของระบบ
ที่มีความสัมพันธ์แบบ เมนี่ ทู เมนี่
โดยการช่วยเหลือของน้องๆทีมโปรแกรมมิ่ง
ได้แก่ หนิง ภาคย์ (และน้องพงศ์ที่เข้ามาช่วยทีหลัง)
เราค่อยๆพัฒนาโปรเจคกันอย่างรีบเร่ง เพราะมีกำหนดการณ์
ชัดเจนตามแผน

จึงเป็นเรื่องปกติที่การทำงานของเรา เลิกงานกันเกือบเที่ยงคืน
เป็นการทำงานที่ดึงเอาชีวิตของพวกเราไปอย่างมาก
จำได้ว่า วันที่จะส่งระบบขึ้นทดสอบ คืนนั้นทั้งคืน ไม่ได้กลับบ้าน
หลับคาเก้าอี้เลย

อ้อ สิ่งที่ลืมไม่ได้เลย คือตอนทำงาน ผมเป็นคนประสานงาน
เพื่อนำระบบเก่ามาสร้าง คอยติดต่อ สอบถาม
และขอข้อมูลต่างๆ กับทางลูกค้า

เมื่อระบบเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง สิ่งต่อไปคือการคอนเวิรซข้อมูลเก่า
เข้ามาสู่ระบบ เพื่อสร้างข้อมูลใหม่ๆ

ปัญหาคือ การขึ้นระบบ จะไม่ทำแบบ บิ๊กแบง คือไม่เปลี่ยนทันที
ในวัน โกไลฟ์ เราจึงใช้วิธีการทำเป็น พาราเลล
หมายถึงว่า ให้ระบบเดิมยังทำงานอยู่ แต่จะมีการดึงข้อมูลจากระบบเดิม
เข้ามายังระบบใหม่ ด้วยวิธีการ อิมพอร์ตเข้ามาทุกวันเสาร์
โปรแกรมตัวอิมพอร์ต สร้างโดยมือโปรชาวอเมริกัน ชื่ออลัน (เก่งมาก)
โดยคนที่เขียนเทค เสป๊ก ให้กับชายแห่งตำนานผู้นั้น คือผมเอง
ผมได้รับมอบหมายแบบจรวดพุ่งปรี๊ด ไม่ตั้งตัว
หัวหน้าบอกว่า ตกลงใช้ไอเดียร์พาราเลลรันนะ ให้ผมทำเสปกด้วย
ผมก็ทำครับ และใช้เวลาไม่นาน ก็ได้โปรแกรมมา เรียกว่า แบทซิงค์

ยอมรับว่า การทดสอบแบทซิงค์ พบปัญหาและไม่พบปัญหา
จนบางปัญหา เราปล่อยให้ผ่านหลังโกไลฟ์จริงๆ แล้วมาแก้ทีหลัง
นับว่าการตรวจสอบซอฟต์แวร์นั้น ต้องละเอียดถี่ท้วนมากๆ
และคนทำควรรู้ว่า จะสร้างสภาพแวดล้อมอย่างไรให้สามารถ
ตรวจสอบทุกๆ กรณีได้ ซึ่งยากพอสมควรเลย แม้แต่คนที่เชี่ยวชาญ
ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมี "หลุด" นะครับ

หลังจากระบบขึ้นไปเป็นแบบพาราเลลแล้ว ยังมีปัญหาตามมา คือ
ข้อมูลที่ได้มาอยู่ในระบบใหม่จากการอิมพอร์ต กับข้อมูลที่เก็บจริง
ในระบบเดิม เมื่อเอกซแทรค ออกมาเพื่อนำไปใช้ต่อไป
มีค่าไม่เท่ากัน ต้องมีการแก้ไข เรียกว่า คลีนซิ่ง

เมนหลักในการคลีนซิ่ง มีผม ภาคย์ และพี่ไพรัช โดยมีหัวหน้าใหญ่เป็นผู้
ตามงานและให้ข้อคิดเห็นดีๆ ตลอดการทำงาน
จำได้ว่า ตอนช่วงคลีนซิ่งนั้น เป็นช่วงที่งานเริ่มเบา เพราะโปรเจค
ได้ขึ้นไปจนจะหมดแล้ว เรื่องหลักประกันนี่ ยังไม่เสร็จ เพราะยังพาราเลล
จึงทำให้ผม ภาคย์ มักทำงานกันต่อตอนที่เพื่อนๆที่ทำงานกลับกันแล้ว
มันเป็นความรู้สึกดีๆ เพราะงานถึงจะหนัก แต่เราเข้าใจว่าเราทำอะไร
มันคือคุณค่าของการทำงานครับ ได้แก้ไข ได้ช่วยเหลือ ได้จัดการ
จำได้ มีการซ่อมแซมระบบกันหลากหลายรูปแบบมากมาย
เรียกได้ว่า เจอมาเยอะ ลุ้นกันตลอด สนุกดีครับ

สิ่งที่ดีที่สุด ในที่สุดก็จบลงด้วยดี ผมคิดว่าผมภูมิใจกับมันมาก
ระบบนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นระบบที่ผมทำเองทั้งหมด ถ้าขาดแรง
กายและแรงใจของน้องๆ ที่ทำงานกันอย่างทุ่มเท มันคงไม่เสร็จลงด้วยดี
แต่ผมก็รู้สึกภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมออกแบบ ร่วมเขียนโปรแกรม(บ้าง)
ผมจึงรู้สึกว่า โชคดีที่ได้ทำโปรเจคหลักประกันนี้ แม้ว่าเวลาดีๆนั้น
มักจะผ่านไปเร็ว ตอนนี้ผมก็ได้แต่หวังว่า จะมีโอกาสได้ทำงานดีๆแบบนั้นอีก

ปล. เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ผมได้ร่วมงานด้วย พวกเขายังอยู่ในความทรงจำ นอกเหนือ
จาก
ที่กล่าวไปแล้ว มีดังนี้ครับ
ฝั่งลูกค้า
พี่นัน - เจ้าของระบบเดิม ที่ผมประสานงานด้วยตั้งแต่เริ่มต้นทำ ให้ความร่วมมือ
ดี
แม้บางทีจะไม่ค่อย แต่ก็สบายใจที่ได้ทำงานด้วยเสมอครับ
พี่แจง - เจ้าของระบบเดิมที่มาดูแลแทนพี่นัน เพราะวันที่พาราเลล พี่นันก็ลาออก
:(
พี่เอก - ขาดไม่ได้เลยลูกค้าฝั่ง user ที่ให้ความร่วมมือเสมอๆ แถมยังส่งรูปดีๆ
มาให้ดู
(เพราะผมดันส่งไปให้ก่อน เนื่องจากส่งให้ผิดคน ทำให้พี่เค้านึกว่าผมชอบ Haha)
ฝั่งบริษัท
น้องๆ ที่ถนนศรี - ที่ให้ความร่วมมือ ตอนเกิดปัญหาเรื่องแบทซิงค์ และการคลี
นซิ่ง
พี่หลิ่ม พี่อุ๊ - ช่วยประสานงาน ช่วยทดสอบ ช่วย Fight ช่วยคิดวิธีทาง business
พี่จ๊วต - ผู้ให้ความสนับสนุนเสมอมา

ธันวาคม 15, 2549

เสียงแห่งรัก

ได้ยินเสียงเพลง ไม่เบานัก แต่ไม่ดัง
ผมรู้ว่าสียงที่ว่าทำให้เห็นภาพอดีต
ที่รู้เพราะผมกำลังเห็น
ภาพเดิมนั่นเอง เธอ คนเดิม ที่เดิม
เสียงเพลงย้ำ วันที่เธอบอกเลิกกับผม

"เราไม่ชอบคนไม่เอาไหน เราอยากได้คนที่ดีกว่านี้"
เหตุผลสำคัญเลย สำหรับการบอกเลิก
ผมเสียใจไหม ไม่เสียใจ แต่ผมเจ็บใจ
ถ้าผมไม่เอาไหน เธอทำไมเลือกผมในตอนนั้น

"เรารักเธอนะ" เธอบอกผมวันที่เราคบกัน

เสียงเพลงจบลง ฝนก็ตกพอดี
ผมเดินออกไปตากฝน
ฝนเดือนธันวาคม มีด้วยหรือ
ไม่รู้เหมือนกัน ..รู้แต่ว่า ผมสบายใจแล้ว

ธันวาคม 11, 2549

ธันวาคม 08, 2549

mp3 player

เนื่องจากตอนนี้เครื่องเล่น mp3 จิ๋ว ที่ผมใช้ประจำ
iRivier iFP799 ให้ลูกสาวฟังกล่อมนอน ก็เลยไม่มีเครื่องใช้
ก็คิดว่าอาจซื้อใหม่อีกซักเครื่อง เอาไว้ฟังเวลาไปทำงาน
ก็หาๆข้อมูลดูครับ ไปดู ranking จากเวบ zdnet.com

http://reviews.cnet.com/Music/2001-6450_7-0.html?tag=more


ว้าว

Zune vs. iPOD vs. iRiver vs. Sony vs. etc....

YesAsia.com ช่วงนี้ Ship ฟรี ถ้า Order $25 Up ครับ

ข่าวดีสำหรับคนรัก DVD ครับ ตอนนี้เวบขายหนัง DVD
ของฮ่องกง ลดราคาแหลก สูงถึง 85% แถม
ถ้าคุณ shop ถึง $25 (25 ดอลล่ายูเอส ประมาณ 900 กว่าบาท)
คุณจะไม่เสียค่าส่ง ผมคิดว่าแฟร์ เลยครับ
ถ้าใครสนใจซื้อหนังที่หาไม่ได้ในไทย
ลองเข้าไปดูได้ครับ อย่าง Happy Together 10 Anniversary Version
ราคาเกือบ 5 พัน ก็มีขาย (สำหรับแฟนๆ เฮียหว่อง)

ตามนั้นเน้อ

ธันวาคม 07, 2549

TOGETHER to-get-her เพื่อให้ได้เธอมาอยู่ด้วยกัน

สายลมอ่อน หน้าหนาว เดือนธันวาคม ท้องฟ้าครึ้มคล้ำ
คล้ายฝนหน้าหนาวโปรยปราย หนาวเปียกชื้น หนาวเข้ากระดูก
หลายปีแล้วที่ผมไม่ได้พบเธอ สาวผมยาว ที่ผมบอกรักเธอ
ในวันก่อนวันที่เธอจะแต่งงานกับแฟนของเธอ ใช่...ผมอกหัก
แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก วันแต่งงานของเธอ คือวันที่แฟนเธอเสียชีวิต

....
ผมไม่ได้พบเธออีก ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงไม่กล้าพบหน้าเธอ
ทั้งๆที่เวลานั้น เป็นเวลาที่เธอต้องการใครที่ไว้ใจ อยู่ข้างเธอได้
ผมรู้สึกว่า ถ้าผมเข้าไปตอนนั้น เธอจะคิดว่าผมฉวยโอกาส
และตอนนั้นเธอคงเศร้าเกินกว่าจะรักใครได้
และ..เธอก็หายไปจากชีวิตผม

....

วันนี้ ผมพบเธอโดยบังเอิญอีกครั้งบนถนนสีลม
เธอผอมลงเล็กน้อย ผมที่เคยยาวตอนนั้น ตอนนี้สั้นเหมือนทอมบอย
เธอดูเป็นสาวมั่น ไม่มีแววตาเศร้าสร้อยใดๆให้เห็น
คล้ายจะกล้าแต่ก็ไม่กล้า ผมไม่เข้าไปทัก กลับหลบเข้าห้างแถวนั้นแทน

Together นั้น จะเกิด ถ้าเรารู้วิธี to get her...

ใช่แล้ว ตอนนี้เธอคงแต่งงานแล้ว
ใช่แล้ว ผมคงไม่มีหวัง

แต่ช้าก่อน เธอเดินเข้ามาในห้างด้วย อ๊ะ เธอตรงเข้ามาหาผม

"จะหลบเราอีกนานแค่ไหน" เธอพูดกับผม
"...เปล่านะ..คือ.." ผมกล้อมแกล้มตอบ
"เธอคิดอะไรของเธอ" เธอพูดกับผม
"...เราแค่.. ไม่..ไม่รู้สิ"

ผมมองหน้าเธอชัดๆ แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาตรงนั้น
เธอจับมือผมไว้แล้วบอกว่า "เราจะแต่งงานกับเธอ"
ผม....ไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้ม
.......................................................................

วิวัฒนาการ vdo chat room ดีหรือไม่ดี

ตอนเรียนอยู่อเมริกา มี high speed internet ใช้
เรียกว่า cable modem คือ modem จะเอาสัญญาณจาก
Cable TV ที่เรารับ ความเร็วค่อนข้างสูงดีทีเดียว
ตอนนั้น ผู้ที่ทำให้วงการ vdo chat room ฮิต คือ
Yahoo messenger
เป็นโปรแกรมที่ดังแรกๆเลยก็ว่าได้
ผมชอบเข้าไปเล่นห้องที่มีคนไทยเล่น
เพราะจะได้ยินเสียงภาษาไทยด้วย
แล้วก็บางทีจะมีสาวๆ มาเปิดกล้องส่องให้ดู
คึกคักมักๆ

ตอนที่กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ high speed เพิ่งเริ่มใช้ในไทย
ก็เลิกเล่นอะไรพวกนี้ไปเลย เพราะยังไม่ได้ติด และงานยุ่งๆด้วย
แต่ตอนนี้ติด high speed แล้ว ก็เลยมีกิจกรรมเก่าๆกลับมา
แต่ด้วยโปรแกรมใหม่ (เลิกใช้ yahoo messenger ละ)
มันชื่อว่า "camfrog" เป็นอะไรที่ โอโห..
มากกว่า yahoo ซะอีก สาวๆสมัยนี้ช่างกล้า

เฮ้อ....... ก็เลยไม่รู้ว่าความเร็วนี่
มันส่งผลดีหรือผลเสีย
เพราะถ้าเป็นแต่ก่อนที่ต้องใช้โมเด็มโทรศัพท์
การเล่น vdo chat room คงไม่เกิดแน่ๆ เนื่องจากภาพคงกระตุกแหลก
แต่เดี๋ยวนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว

น่าสนใจนะครับ เรื่องนี้ ต้องดูกันต่อไป... ว่าจะจบลงยังไง

My 2nd Honeymoon last year Part 1

6 ธันวาคม 2005

ทำไมต้องฮ่องกง?

จะว่าไป ก็เพราะปีนี้หุยได้ตั๋วเครื่องบินฟรี ไปกลับ ไทย ฮ่องกง 1 ที่นั่ง จากการสะสมระยะทางบิน ของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ทำให้เราตัดสินใจจะไปเที่ยวฮ่องกง กึ่งฮันนีมูนรอบสอง ช่วงเดือนธันวาคม โดยกะจะไปแบบเที่ยวเอง ไม่พึ่งไกด์ หรือทัวร์ แต่พึ่งหนังสือสอง สามเล่ม ที่แนะนำการท่องเที่ยวฮ่องกง และแผ่นพับแผนที่ฮ่องกง และเอกสารเส้นทางการเดินรถต่างๆ

หมายกำหนดการคือ เราจะออกเดินทางกันวันที่ 6 ธันวาคม ขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง รอบ 11:05 น. สายการบิน คาเธ่ แปซิฟิก (จริงๆหุยได้ตั๋วเพราะ Japan Airline แต่ Japan Airline ไม่มีเที่ยวบินที่ไปฮ่องกง จึงให้ไปกับสายการบินคาเธ่แทน) และกลับบ้าน วันที่ 11 ธันวาคม รอบ 9:30 น. โดยพักทุกคืน ที่ Guest House ญาติของเพื่อนน้องหุย ที่ย่านจิมซาจุ่ย ฝั่งเกาลูน ในราคาที่ไม่แพงเกินไปนัก (หรือเปล่า) ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้ง ไม่ไกล มงก๊ก และ ท่าเรือ สตาร์เฟอรี่ ที่จะพาเราไปฝั่งฮ่องกง ได้อย่างง่ายดาย

เดินทางไปดอนเมืองด้วยรถแท็กซี่

ตอนเช้า ฝากพี่หน่อยเรียกแท็กซี่เข้ามาให้ก่อนเข้ามาบ้าน จะได้ไม่ต้องเดินไปปากซอยเอง และแล้วตอนประมาณ 8 โมงครึ่ง รถแท็กซี่มิเตอร์ก็มาถึงหน้าบ้าน ขนของขึ้นท้ายรถเสร็จ รถก็บึ่งไปบนถนนที่รถไม่ค่อยติดนัก ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลาประมาณ 9 โมงเศษ แต่เราเอากระเป๋าเข้าไป check ไม่ได้ในทันที เพราะยังเร็วเกิน เลยไปนั่งจิบกาแฟ บวกอาหารเช้าเล็กๆ ที่ Burger King สาขาสนามบิน ที่สนนราคาแพงกว่าปกติพอสมควร (ทำไม ?!!!!!???) หุยสั่งกาแฟเย็น ผมสั่งกาแฟร้อนบวก แฮชบราวน์ มันทอดแผ่น (ที่มีขายแต่ที่ Burger King ใช่ไหม)

จากนั้นเราก็เข้าไปในสนามบิน ผมเลยถือโอกาสเดินเที่ยวรอบๆ ที่ขายของ Duty Free ก็เดินเล่นตั้งแต่ต้นยันปลาย ได้เห็นร้านรวง ที่เปิดให้บริการกันเป็นที่เรียบร้อย ราคาของที่ขายใน Duty Free จัดได้ว่าแพงนะครับ ไม่ใช่ถูก อย่างชอคโกแลตสวิตซ์ ที่หุยซื้อมาตอนไปเที่ยวกับที่ทำงาน ได้ราคา 400 กว่าบาท ในสนามบินขายอยู่ 800 บาท ยังไงถึงไม่เสีย Duty แต่ก็เสียค่า Shipping อยู่ดีละมั้ง :(

หลังจากเดินเล่นจนเวลาใกล้หมด เราสองคนก็บึ่งไปที่เกตขึ้นเครื่องบิน ที่จะพาเราไปสู่ประเทศฮ่องกงเสียที เข้าไปนั่งรอที่เก้าอี้หน้าเกตนั้นประมาณสิบกว่านาทีเองมั้ง ก็ขึ้นเครื่องได้

บนเครื่องบินสู่มหานครฮ่องกง

บนเครื่อง หุยนั่งติดหน้าต่าง ผมนั่งตรงกลาง เป็นที่นั่งแบบสามคน คนที่นั่งข้างๆผม เป็นผู้ชาย น่าจะเป็นชาวจีน เพราะอ่านหนังสือพิมพ์จีนใหญ่เลยตั้งแต่ขึ้นเครื่อง ดูจริงจังมาก แถมนั่งเบียดหน่อยๆ ดีที่ตัวไม่ใหญ่มาก เลยไม่อึดอัดนัก (แต่ถ้าให้ดี อยากนั่งสองคนมากกว่านะ)

บนเครื่องบินมีทีวีติดอยู่ที่เก้าอี้นั่งคนข้างหน้า แต่ไม่มีหนังฉายนะครับ มีแต่รายการทีวี ประมาณละคร และพวกข่าว อ่อ มีการ์ตูนด้วย คงเพราะระยะเวลาในการเดินทาง เพียงสองชั่วโมงเท่านั้นก็ถึง เลยไม่มีหนังยาวให้ดู ผมนั่งอ่านหนังสือของปราบดา เล่มใหม่ รวมเรื่องสั้น “ความสะอาดของผู้ตาย” จบไปสองตอนมั้ง แล้วก็หลับ เพราะเมื่อคืนก่อนเดินทาง นอนไม่มากนัก แถมต้องตื่นแต่เช้าเตรียมตัวเดินทางอีก เบาะในเครื่องจึงเป็นเสมือนเตียงนอนไม่สบายให้ผมและหุยพักผ่อนก่อนตะลุยประเทศฮ่องกง

ก้าวแรกสู่ฮ่องกง

“ตื่นๆ ถึงฮ่องกงแล้วจ้า!” และแล้วก็มาถึงสนามบิน Chek Lap Kok ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะลันเตา ฮ่องกงมีเกาะน้อยใหญ่มากมายหลายเกาะ แต่ที่สำคัญ ๆ คือ ฝั่งเกาลูน (ติดแผ่นดินใหญ่) ฝั่งเกาะฮ่องกง และ ฝั่งเกาะลันเตาที่ตั้งสนามบินแห่งนี้ ซึ่งค่อนข้างทันสมัยพอสมควรเลยครับ

เมื่อก้าวขาลงจากเครื่อง สิ่งแรกที่สัมผัสคืออากาศที่หนาวเย็นอย่างมาก พวกเราเตรียมเสื้อหนาวกันมาน้อย เนื่องจากดูพยากรณ์อากาศในเวบ yahoo แล้วพบว่า ช่วงของอุณหภูมิ จะอยู่ประมาณ 10 – 21 องศา ก็เลยชะล่าใจ ว่าคงไม่หนาวเหน็บอะไร แต่ที่ไหนได้ พอไปถึงก็รู้ว่า มันไม่ใช่แค่เย็นสบายแล้วสิ มันกลายเป็นหนาวเย็นซะแล้ว

เวลาของฮ่องกงเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง เราจึงมาถึงฮ่องกงเวลาประมาณบ่ายสามโมงเศษ เดินเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ใช้เวลาไม่นานนักก็เข้าไปได้ มีคนไทยเข้าแถวต่อจากพวกเราด้วยตอนอยู่ที่ด่านตรวจ (ได้ยินเขาคุยกัน เป็นผู้หญิงที่ดูมีอายุหน่อยๆ)

เดินเข้าไปแล้ว มีบู้ตครับทั่น เป็นบู้ตเกี่ยวกับการซื้อตั๋วเดินรถ ผมก็เลยซื้อบัตร Octopus Card ให้ตัวเองหนึ่งใบ และ Add เงินให้บัตรที่หุยได้จากน้องเมย์อีกหนึ่งใบ (คนละ 100$ HK)

บัตร Octopus Card คืออะไร

บัตร Octopus คือบัตรแถบแม่เหล็ก สำหรับเก็บข้อมูลเงินในบัตร บัตรนี้เวลาใช้ ก็เหมือนบัตรรถไฟฟ้าใต้ดินของไทยแหล่ะครับ คือเอาไปพาดกับที่วาง ก็จะอ่านแม่เหล็กดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ที่บัตร แต่สิ่งที่เหนือกว่าไทยคือ บัตรนี้ใช้ขึ้นรถไฟ MTR, KCR, รถบัสต่างๆ, เรือสตาร์เฟอรี่ ฯลฯ มากมาย รวมทั้งการซื้อของก็ใช้บัตรนี้แทนบัตรเงินสดได้เลยในร้านอย่าง 7Eleven แต่ก็ต้องระวัง ถ้าบังเอิญทำตกหาย ก็คือคุณทำเงินหายตามมูลค่าบัตรนั่นแล ดังนั้น เมื่อมีแล้วต้องเก็บรักษาดีๆหน่อยครับ อ้อ ต้องเสียค่ามัดจำบัตรด้วย 50 เหรียญ จะได้คืนเมื่อเอาบัตรไป Refund ภายในระยะเวลาที่กำหนด

เดินทางจากสนามบิน Chek Lap Kok ไปสู่ห้องพัก

การเดินทางจากสนามบินไปยังที่พักย่านถนนนาธาน ใกล้ๆ ถนน Temple Market พวกเราเลือกที่จะใช้บริการรถบัส สาย A21 เนื่องจากราคาตั๋วที่น่าจะถูกกว่าไปโดยรถไฟ Airport Express ตอนแรกก็ไปขึ้นไม่ถูกเหมือนกัน เพราะใหม่มาก ไม่รู้ว่าวิธีขึ้นรถบัสของฮ่องกง ต้องทำอย่างไรบ้าง เลยถามตำรวจที่สนามบิน พี่แกก็ชี้ไปที่ Exit แล้วบอกว่าให้ออกไป แล้วเลี้ยวขวา ก็จะมีท่ารอรถ

ผมกับหุย ลากกระเป๋าเสื้อผ้า สะพายเป้กันพะรุงพะรัง เพื่อไปรอรถ รอไม่ถึงนาที รถมาพอดี เราก็เลยขึ้นไป รถบัสที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นแบบสองชั้น คันนี้ก็เช่นกัน และเนื่องจากเป็นรถสำหรับสนามบิน จึงมีชั้นวางกระเป๋าเดินทางพิเศษให้ด้วย ไม่ใช่มีแค่ที่นั่งผู้โดยสารเท่านั้น

การเดินทางเหมือนจะยาวนาน เราสองคนก็หลับๆตื่นๆ ไปตลอด แต่พอใกล้จะถึงที่หมาย ซึ่งคนที่ Information สนามบิน ให้ข้อมูลว่า ให้ลงป้าย 10 เราก็ตื่น และคอยอ่านรายละเอียดของป้ายลงที่หน้าจอของรถ (ในรถบัส มีป้ายบอกตลอดว่า ป้ายต่อไปคือเบอร์อะไร เป็นป้ายของถนนอะไร) โดยใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานเหมือนกันครับ น่าจะประมาณชั่วโมงนึง

เดินหาที่พัก กว่าจะเจอ...

เรามาลงป้ายแถวๆหน้าโรงแรม Majestic บนถนน นาธาน พวกเราก็เดินตามแผนที่ที่น้องเมย์เขียนให้ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตึกที่ตั้งของ Guest House ที่ว่า จนกระทั่งเหลือบไปเห็นป้ายเล็กๆ เย่ เลยเดินเข้าไป และกดไปชั้น 14 ขึ้นไปถึงก็ไปกดออด เจ้าของบ้านชื่อคุณวันชัย หน้าตายิ้มตลอดเหมือนอาแปะ มีอายุ พูดไทยได้ชัดเจนดีครับ แต่น่าจะพูดภาษาฮ่องกงได้ดีกว่าด้วย เพราะภรรยาเป็นคนฮ่องกง เราก็แนะนำตัวกัน ทางเขาดูเหมือนจะทราบก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีพี่สาวน้องเมย์มาพัก ราคาไม่ได้ต่อรองเลย คิดคืนละ 300 เหรียญ (จริงๆ พวกเราน่าจะขอลดหน่อย เพราะเอาน้ำพริกมาให้จากเมืองไทยด้วยนา แม่หุยฝากมาให้ เพราะน้องเมย์ ไปอาศัยอยู่กับคุณ(ลุง)วันชัย เมื่อเดือนตุลา ประมาณสองอาทิตย์ กับเพื่อน ซึ่งเป็นญาติ กับเพื่อนน้องเมย์)

ตกลงเราจ่ายไปเลย 5 คืนครับ 1500 เหรียญเหนาะๆ ไปซะแล้ว แต่ยังเอากระเป๋าเข้าไปเก็บไม่ได้ เพราะยังมีคนพัก ซึ่งจะออกไปวันนี้ พวกเราก็เลยฝากกระเป๋าไว้ แล้วลงไปเดินข้างล่าง ซึ่งท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มแล้ว

เปิดประตูเข้าสู่ห้าง Harbour City เดินช๊อปวันแรกก็ได้ของแว้ว

เราเดินครับ เดินไปเรื่อยๆ บนถนนนาธาน ซึ่งคราคั่งไปด้วยผู้คนที่มีให้เห็นตลอดทางเดิน แม้เวลาประมาณหกโมงเย็นจะดูไม่ค่อยดึกมากมาย แต่ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มแล้ว สมเป็นฤดูหนาวของที่นี่ ร้านรวง มีทั้งที่เป็น Brand Name และไม่เป็น Brand Name ให้เห็นตลอดทางเดิน รวมถึงร้านขายลูกชิ้นทอด ร้านขายอาหาร หรือแม้แต่รถเข็นขายของตามทาง

เรากางแผนที่หาที่ตั้งของห้างใหญ่ที่มีชื่อเสียงของฮ่องกง ฮาร์เบอร์ซิตี้ เดินฝ่าความหนาวไปจนถึงห้าง ผมกับหุยก็เข้าไปเดินมั่วนิ่ม เพื่อหาร้านแรกที่ผมจะไป นั่นคือ Toy R Us อันโด่งดัง เมื่อเข้าไปในห้างแล้ว ความรู้สึกของผมคือ ไม่เห็นใหญ่เลย เพราะผมเคยเดินที่อเมริกามาหลายสาขา และพบว่ามันใหญ่กว่าที่ฮ่องกง ก็เลยคิดว่านี่หรือที่ในหนังสือแนะนำบอกว่าใหญ่ :(

แต่ถึงกระนั้น เราก็ได้ของกลับติดมือ นั่งคือของที่พี่แจง KCS สั่งก่อนผมออกเดินทาง หนังสือนิทานรถไฟ Thomas

ระหว่างทางกลับจากร้าน Toy มีมุมสวยๆให้ชักภาพกันตามเคย

ถัดออกมาจากร้าน Toy ไม่มาก มีต้น Christmas ให้ที่ห้าง Harbour City จัดไว้ให้คนถ่ายรูปกัน พวกเราก็ถือโอกาสขอให้คู่รักชาวจีนถ่ายให้เรา (แลกกันถ่าย)
ต่อด้วย HMV และ เอสปรี

ออกจาก Harbour City ผมกับหุยก็เดินไปร้านขายดีวีดี ซีดี ชื่อดังของโลกอย่าง HMV ซึ่งมีสาขาสามชั้นอยู่แถวๆนั้น เข้าไปแล้วติดลมมาก ที่นี่เปิดถึง 5 ทุ่มสี่สิบห้าแน่ะครับ หลังจากได้ดีวีดีมาหลายแผ่น เป้าหมายต่อไปคือร้านเอสปรี เพื่อดูเสื้อผ้า เอาแบบกันหนาวได้ แต่ไม่ได้อะไรติดมือ

อาหารค่ำมื้อแรกที่ฮ่องกง

เมื่อเริ่มรู้สึกหิวแล้ว เราสองคนก็เลยหาอาหารเย็นทาน ตอนแรกเราก็เข้า 7Eleven ได้น้ำมา จากนั้นหุยอยากเข้าร้านที่เป็น Local มากๆ ไม่อยากเข้าพวก Fast Food หรืออาหารที่มีขายทั่วไปในไทย เราเลยเดินลุยไปตามซอย และได้เห็นป้ายอาหารอยู่หน้าร้าน วิธีการคือ เราถ่ายรูปเหล่านี้ไปให้คนขายดู แล้วบอกว่าจะสั่ง ใครไปต่างบ้านต่างเมืองแล้วพูดภาษาเขาไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้กันได้ตามสะดวกครับ

อาหารเยอะมากครับ ข้าวจานใหญ่ รสชาติดีเยี่ยมจริงๆ หมดเงินไป 2 จาน 66 $HK (คูณ 5.36) อิ่มแน่น พร้อมลุยลมหนาวกลับที่พัก โดยก่อนกลับเข้าที่พัก หุยได้เสื้อเสวตเตอร์ สีฟ้ายีน สวย มีขนสัตว์ที่ปก ราคา 200 กว่าเหรียญ (ลดแล้ว) ติดมือกลับมาด้วย ก่อนเวลาร้านปิดนิดหน่อย (เรากลับกันประมาณ 5 ทุ่ม)

เข้าห้องพัก

หลังจากเหน็ดเหนื่อย อิ่ม หนาว จากการเดินดุ่มๆ ตลอดทางจากร้านค้าและร้านอาหารย่านจิมซาจุ่ย พวกเราก็ได้ฤกษ์เข้าบ้านพักกัน อาคารที่ตั้งคือ Kim Tak Apartment ชั้น 14 .. ห้องเล็กประติ๋วราคาคืนนึงพันห้า ก็ตกเป็นของพวกเราทันที .. แล้วพวกเราก็จัดกระเป๋า เก็บข้าวของ อาบน้ำอาบท่า นอนพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องไปลุยต่ออีกวัน

7 ธันวาคม 2005

เกาลูนพาร์ค

เนื่องเพราะเพลียจัดจากเมื่อคืน พวกเราเลยตื่นไม่เช้าเท่าไหร่ ออกจากบ้านพัก ลงลิฟต์ เลี้ยวซ้าย เดินๆ แล้วข้ามถนน ไปอีกฝั่ง (ฝั่งนี้จะมีสวนสาธารณะ Kowloon Park ตั้งอยู่) และผ่านร้านขนมปังยามาซากิ แบบเดียวกับบ้านเรา ผมกับหุยเลยซื้อขนมปัง กับกาแฟกระป๋องไว้ลองท้อง แล้วเดินมานั่งทานกันที่หน้าบริเวณสวนสาธารณะเกาลูปาร์ค นั่นแหล่ะ

หลังจากเสร็จสิ้นบริโภค พวกเราก็เดินกันต่อ และเหลือบไปเห็นทางเดินขึ้นไปที่สวน Kowloon Park ก็เลยขึ้นบันไดเข้าไปในนั้นและ ถ่ายรูปมาอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินทางไปท่าเรือ Star Ferry กันต่อ

เดินทางข้ามฝั่งจากเกาลูนไปสู่เกาะฮ่องกง ด้วยเรือชื่อดาว (สตาร์เฟอรี่)

เรือสตาร์เฟอรี่ เสียค่าโดยสารข้ามฝั่ง ประมาณ 2 เหรียญ เป็นเรือที่ใช้ข้ามฝั่งเกาลูนกับฝั่งเกาะฮ่องกง ตรงทางเข้าท่าเรือ อยู่ติดๆกับทางเข้าห้าง Harbour City ผมจึงถ่ายรูปเป็นที่ระลึกบริเวณนั้นก่อนจะตีตั๋วข้ามฟาก (อารมณ์ประมาณ ท่าพระจันทร์ ข้ามศิริราช กับ ธรรมศาสตร์เลยครับ)

เมื่อเข้ามานั่งในเรือแล้ว ก็ได้เห็นถึงบรรยากาศ วิวทะเล ที่ประกอบด้วยตึกสูงๆ มากมาย คนบนเรือ ไม่แน่น เพราะเป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวบางตา แต่จะมีคนฮ่องกงบ้าง ให้เห็น สังเกตได้ว่าใครเป็นนักท่องเที่ยว ก็จะชักกล้องถ่ายรูปมาถ่ายกันแช๊ะๆ (รวมทั้งผมและหุย)

เดินทางตามหนังสือท่องเที่ยว ไป Stanley Market โดยนั่งรถบัส ขึ้นที่สถานี Central ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือเท่าไหร่ แต่เนื่องจากมือใหม่ พวกเราเลยเดินไปเดินมา ขึ้นๆ ลงๆ สถานีรถไฟใต้ดิน MTR อยู่พักใหญ่ กว่าจะหาที่ขึ้นรถบัสพบ

ใจจริง ตอนแรกเรากะจะไปนมัสการ วัดเจ้าแม่กวนอิม ก่อน ถึงจะไป Stanley Market แต่เนื่องจาก เมื่อถึงป้ายรถบัส สำหรับป้าย Repulse Bay ที่ตั้งวัด พวกเราดันไม่ลง (เพราะไม่แน่ใจว่าใช่ป่าว) ทำให้นั่งเลย ก็เลยเอาวะ ไป Stanley Market ก่อนก็ได้ แล้วก็ตามเคย ชักรูปมาฝากอีกตามเคยครับ

หลังจากเดินชมตลาดจนหมดมุข พวกเราไม่ได้ของเลย เพราะเหมือนของขายในประตูน้ำ ในหนังสือบอกว่า ที่นี่เป็นที่อยู่ของชาวต่างชาติ เราจึงเห็นพวกฝรั่งมาเดินกันพอสมควร มีร้านขายกาแฟแฟรนไชน์ เดอเลอฟร้อง ด้วยครับ แถบๆนั้น พวกเราเดินมั่วไปมา จนไปถึงห้าง Stanley Plaza ซึ่งเป็นเวลาบ่ายๆ ก็เลยหาอะไรกินกัน

ในหนังสือเขียนถึงอาหารใน McDonald ฮ่องกง ว่ามีที่ไม่มีขายในไทย เราก็เลยไปลองชิมกันดู ตามรูปประกอบข้างล่าง

Repulse Bay ที่ตั้งวัดเจ้าแม่กวนอิม

หลังจากเดินเที่ยวใน Stanley Plaza ซักพักใหญ่ พวกเราก็ไปต่อรถบัสเพื่อเดินทางกลับไปทาง Repulse Bay ที่ตั้งวัดเจ้าแม่กวนอิมตามหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวฮ่องกงที่เราซื้อมา

ลงจากป้ายรถเมล์ มีทางเดินลงหาด วัดจะอยู่ริมทะเล เพราะแต่ก่อน เป็นวัดที่ชาวบ้านยึดเหนี่ยวใจในการออกทะเล ไม่ให้เกิดอันตราย
เราเดินลงมาถ่ายรูปริมชายหาดกันก่อน แล้วจึงเดินเรียบทางเดินไปยังวัดเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งตั้งหันหน้าเข้าสู่ทะเล ดูน่าเคารพสักการะ ด้วยรูปปั้นองค์ใหญ่ของเจ้าแม่ ที่ดูเปี่ยมเมตตา ทำให้มีคนมาสักการะล้นหลามเนืองๆ แม้ว่าวันที่พวกเรามาเยี่ยมชม เป็นวันธรรมดา

นักท่องเที่ยวที่พบในวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน ที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนฮ่องกง (คนฮ่องกง คงไม่มาเที่ยวสถานที่แบบนี้บ่อยนักหรอก เพราะเป็นบ้านเมืองตัวเองน่ะ) นอกจากนี้ก็มีคนไทยปะปนอยู่ด้วย ได้ยินเสียงคุยกัน

จึงอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปกันมาหลายใบเลยครับ

เดินทางไปสู่ Causeway Bay

หลังจากเดินถ่ายรูป และไหว้สักกาะเจ้าแม่กวนอิมเสร็จ พวกเราก็เดินขึ้นไปยืนรอรถบัส ที่จะพาเรากลับไปสถานี Central เพื่อจะต่อสายรถคันใหม่ไปเที่ยว ย่าน Causeway Bay ระหว่างรอ มีกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นสามคน น่าจะเรียนมัธยมปลาย หรือมหาลัยปีแรกๆ เดินมารอเหมือนกัน และแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งก็หยิบบุหรี่ขึ้นจุด พร้อมพ่นควันอย่างสบายอารมณ์ไม่สะทกสะท้าน สภาพของฮ่องกงทุกวันนี้ คลุ้งควันบุหรี่ไปทั่วทุกแห่ง โดยเฉพาะในร้านอาหาร ซึ่งเปิดแอร์ ! เป็นอะไรที่ผมว่า ฮ่องกงยังล้าหลังประเทศไทยอยู่นะครับ แม้ความเจริญทางด้านวัตถุ สิ่งก่อสร้าง เทคโนโลยี จะเหนือชั้นกว่าไทยมาก แต่ในเรื่องการเปิดรับวัฒนธรรม สิงห์อมควันของเขา อย่างไม่ค่อยจำกัดจำเขียดแบบนี้ ทำให้ผมมองว่ามันยังต่ำกว่าเมืองไทยมากๆเลย สังเกตได้ว่า ในรายการทีวี ดาราจะสูบบุหรี่กันได้อย่างสบายอารมณ์ หลายๆฉาก โดยไม่มีการเซ็นเซ่อร์เหมือนบ้านเราด้วย

แม้แต่ตอนไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม กลิ่นบุหรี่ก็ยังลอยมารบกวนจิตใจผมและหุยตลอดเวลา เหมือนเมืองฮ่องกง (และคนจีน) กำลังซึมซับวัฒนธรรมนรกนี้อย่างสบายๆ เพราะมันเป็นเม็ดเงินมหาศาลกับการขายสิ่งเสพติดที่ไม่รุนแรง แต่ค่อยๆทำลาย ให้กับคนจีนจำนวนมาก ใช่ครับ ถ้าไม่ทำอะไรให้ขายได้ต่อเนื่องกับคนปริมาณมหาศาลก็คงเป็นการเสียโอกาสเอาเงินเข้ากระเป๋าอย่างน่าเสียดายละมั้ง

เรารอ ร้อ รอ นานเชียว เกือบชั่วโมง ไม่มีรถสายที่เราจะไป เราเลยตัดสินใจ ทะยานขึ้นบนรถบัสท้องถิ่น ที่เขียนป้ายปลายทางว่า Causeway Bay ซะเลย โดยสุ่มทางเดินเอง ว่ายังไงก็คงไปลง Causeway Bay แหล่ะน่า ถ้ายังรอสายที่ตั้งใจ ฟ้าคงมืดพอดีกว่ารถจะมาจอด (เห็นป้ายบอกว่า มาทุกๆ 40 นาทีเชียว แต่รอเกือบจะชั่วโมงยังไม่เห็นแวว)

รถรางที่รัก

หลังจากลงรถบัสที่พาเรามาจาก Repulse Bay ที่ตั้งวัดเจ้าแม่กวนอิม หุยกับผม เดินจูงมือกันเล่นกันไปทั่วๆ ย่านขายของ Brand Name อย่าง Causeway Bay ที่ไม่ค่อยมีอะไรดึงดูดพวกเรานัก (เพราะมันแพง)

ผมไม่เคยขึ้นรถรางที่ฮ่องกงมาก่อน เพราะผมไม่เคยมาเที่ยวฮ่องกง (แล้วมันจะเคยได้ไงฟะ :P) นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถรางครับ รถรางที่ว่าวิ่งกันว่อน อยู่บนรางกลางถนนฝั่งเกาะฮ่องกงเท่านั้น (ฝั่งเกาลูนหาดูไม่ได้ครับ) สนนราคาแสนถูก สองเหรียญกว่าๆเอง (หรือสองเหรียญเต็มก็ไม่แน่ใจ) โดยก่อนที่จะขึ้นรถราง เราต้องข้ามถนนไปขึ้นที่เกาะกลางถนนเสียก่อนจึงจะขึ้นได้ เพราะรางของรถ จะอยู่ตรงกลางถนน ด้านบนมองขึ้นไปจะเห็นสายระโยงระยาง สำหรับพารถรางให้แล่นไปตามทาง คล้าย กับรถรางที่ซานฟรานซิสโก ลักษณะของรถรางจะเป็นสีเขียวๆ วิ่งเอื่อยๆ คนโดยสารแน่นบ้าง โล่งบ้าง แล้วแต่คัน

เป้าหมายของรถรางที่เรานั่ง คือกลับไปที่ท่าเรือ สตาแฟรี่

ธันวาคม 06, 2549

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

เสียงทะเลาะกันของสองฝ่าย
ต่างยืนยันว่าตัวเองถูก
คนที่สามยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่พูดอะไร
ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า
สองฝ่ายที่ทะเลาะกันยังคงทะเลาะกัน
ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด

คนที่สามเริ่มเคลื่อนไหว
เขาพูดขึ้นท่ามกลางคนที่มุงดู
บ้างเชียร์ฝ่ายซ้าย
บ้างเชียร์ฝ่ายขวา

"ใครว่าฝ่ายนั้นถูกครับ แทงเข้ามาๆ"
คนที่สามเริ่มสอดส่ายไปตามสายฝูงชน
คนเริ่มแทงตามด้วยความเมามัน
....

สุดท้ายเรื่องจบลง สองฝ่ายที่ทะเลาะกันบาดเจ็บ
คนที่สามหักกลบลบหนี้ ได้กำไรไปหลายหมื่น

นิทานสอนว่า "ทะเลาะกันได้ แต่ไม่ต้องให้คนมุง
เพราะจะมีคนหัวใสเปลี่ยนวิกฤต เป็นโอกาส" :P

ล้างจาน

ผมเชื่อว่า ไม่มากก็น้อย คุณต้องเคยล้างจาน
อยากรู้ว่า เวลาคุณล้างจาน คุณจะล้างให้เสร็จทีละใบ
หรือคุณล้างน้ำยา แล้วจัดวางเป็นกลุ่ม
แล้วค่อยเอาน้ำล้างจานที่เช็ดน้ำยาแล้วทีเดียว

สำหรับผม ผมชอบล้างให้เสร็จทีละใบ
มันสิ้นเปลือง ใช่ แต่ผมว่ามันสะอาดกว่า
การที่เราล้างแล้วพักให้มันอยู่ในกลุ่ม
จานที่เคลือบน้ำยาแล้ว แล้วค่อยล้างน้ำสะอาด
ช่วงเวลาที่มันสุมอยู่กันเป็นจานเคลือบน้ำยาล้างจาน
มันวางอยู่บนความสกปรกที่พื้นซิงค์น้ำ
ผมอาจโรคจิต แต่ผมว่ามันบ่งบอกอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน

ว่าแต่ว่า มันบอกอะไรดี

บอบบาง

คนเรามักขาดการเอาใจดูแลส่วนที่บอบบาง
กว่าจะรู้ตัวหรือนึกถึงมัน ก็ตอนที่มันขาดไปแล้ว
พอมันขาด ก็นึกเสียใจ และพยายามซ่อมแซม
ไม่ว่าจะหากาวตราช้างมาปะ หรือเอาด้ายเย็บ
หรือแม้แต่หาชิ้นส่วนมาทับแทนที่

สิ่งของที่บอบบางอาจซ่อมแซมได้เป็นบางชิ้น
แม้ริ้วรอยการซ่อมแซมเหมือนแผลเป็น
ไม่มีทางลบเลือน แต่น้อยที่สุด มันก็ใช้งานได้

แต่ใจคน ที่บอบบาง ถ้าถูกทำให้ขาดเสีย
จะมีสิ่งใดที่ซ่อมแซมได้
ขอเพียงว่า อย่าคิดสั้น อย่าฆ่าตัวตาย
อย่าทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น
แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

หลายคนที่เห็นคนอื่นทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย
แล้วคิดว่าคนพวกนั้นอ่อนแอ หรือโง่ หรืออะไรก็ตาม
ที่เป็นไปในทางลบ

แต่หากพวกเขาเหล่านั้น ได้เผชิญกับสถานะการณ์
ได้สัมผัสเวลาที่ใจถูกฉีกขาด
คงนึกเข้าใจว่า เพราะอะไร ความเจ็บปวดทางใจ
ถึงมีความรุนแรงเพียงพอที่จะทำให้คนบางคน
ทำอะไรโง่ๆออกมาได้

คนที่ชอบทำร้ายจิตใจคนอื่น กับคนที่จิตใจบอบบาง
ถ้าอยู่ด้วยกัน โอกาสเสี่ยงต่อเหตุการณ์เลวร้ายจะสูง
ผมคิดว่า ถ้าเป็นไปได้ คุณที่รู้ตัวเองว่าบอบบาง
ควรหลีกเลี่ยงการคบหากับคนที่พูดจาไม่แคร์ใคร
ถ้าคุณละเอียดอ่อน คุณควรเลือกคนที่จะคบ
หรือไม่ก็... อย่าได้คบใครเลยดีกว่า

เรามักไม่ทำร้ายจิตใจตัวเอง
เรามักเดินตามทางที่ช่วยให้ตัวเองมีความสุข
น้อยคนจะหาเรื่องมาทำร้ายจิตใจตัวเอง
ถ้าไม่มีเหตุการณ์ หรือบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ชีวิตสงบสุข ให้แน่ใจว่าสงบสุข

ผมคิดว่าสายน้ำที่ไหลเอื่อยคืออารมณ์
อารมณ์ของผมเอง
ถ้าวันไหน มีคนเอาตีนไปกระทืบในน้ำ
สายน้ำคงไม่ไหลเอื่อยอีกแล้ว
แต่จะแตกวงออก กระเพื่อม เหมือนใจมีพายุ
ใจที่บอบบางกำลังถูกฉีกขาด
ไร้ซึ่งความสงบ มีแต่เสียงกรีดร้องในใจ

ขออย่าให้คุณ ซึ่งรู้ตัวว่าตัวเองบอบบาง
ยอมให้ใครเอาตีนมากระทืบใจคุณเลยนะครับ
บุญรักษาครับ

ธันวาคม 05, 2549

ประเดิมวันพ่อ -- พ่อค้า ebay หน้าใหม่

วันนี้โพสไปสองอย่างครับ

Set of 4 Elephant Dolls ($6)
http://cgi.ebay.com/ws/eBayISAPI.dll?ViewItem&item=320058296024

1 Elephant Doll ($4.99)
http://cgi.ebay.com/ws/eBayISAPI.dll?ViewItem&item=320058309544

ไม่รู้จะมีคนซื้อเปล่าอะ ลองดูๆ

ถ้าขายได้ จะขายอีก หนุกๆ :)

Harddisk 250GB

เมื่อวันเสาร์ ผมถอย harddisk seagate 250 GB จากพันทิพย์
ตัวเก่า 40G ออกอาการ bad sector เกือบทั้งตัว
ตอนนี้เลยโหลดหนังสบายๆเลย :P

คำถาม

"โลกของเราคงวุ่นวายพิลึก ถ้าคนเราเข้าใจผู้อื่นโดยไม่ตั้งคำถาม เราก็คงไม่ก้าวหน้าไปหนไหน" คือประโยคที่ "มุสิก" พูดกับเจ้าของบาร์ "เจ" ส่วนหนึ่งในนิยายเรื่อง "พินบอล ,1973" ของฮารุกิ มุรากามิ (เล่มที่ 3 ที่ผมอ่านจบ ก่อนหน้านี้คือ sputnik sweetheart, hear the wind sing) ประทับใจประโยคสั้นๆ นี้ เพราะคิดว่า เป็นอะไรที่ตรงกับตัวเองดี ใช่ ผมคิดว่าผมชอบคิดว่าตัวเองเข้าใจใครบางคน โดยไม่คุยกับเขาตรงๆ เป็นการคิดเอาข้างเดียว มันเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดมากกว่าน่ายินดี ถ้าคนคนนั้นเป็นคนที่เรารัก และกลายเป็นคนที่ต้องห่างเหินกันตามภาวะ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เราเผชิญ

เพียงขอ ให้เราคุยกันเวลาที่เราไม่เข้าใจกัน มากกว่าต้องเก็บไว้ในใจ คิดไปตามทางตัวของตัวเอง แล้วผลสุดท้าย ไม่มีอะไรคืบหน้า มีแต่การหลอกตัวเองให้ตัวเองรู้สึกดี เป็นเพียงกลไกป้องกันตัวเองที่ดูเหมือนสวยงาม แท้แล้วเศร้าสร้อย เหงาจับจิต และไม่มีอะไรดี....เลย

สิ่งที่ผมเรียนรู้จากคำว่า...

เสียงหัวใจเต้น เคยตั้งใจฟังไหม.........................



ณ มุมเหงาๆ แห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ

เธอนั่งอยู่ตรงข้าม สายตาผมหลบลงต่ำ

ผมไม่กล้าสบตาเธอ หากแม้นในใจ....

ถ้าทำได้..........คงเข้าไปกอดแล้ว



เส้นบางกางกั้นระหว่าง โลกสองโลก

บางเหมือนเส้นด้าย แต่กว้างกว่าจักรวาล

อยากสบตา แต่ไม่กล้า ลอบมองบางครั้ง

ใจก็เต้นระรัว เพียงว่า ถ้าพอดีสบตากัน

ใบหน้าคงแดง หัวใจคงพองโต นี่หรือ



ความรัก...





ผมลุกจากเก้าอี้ ก้มหน้าตลอด

เลื่อนเก้าอี้เข้าที่ หยิบถ้วยกาแฟ

เดินจากไป .... ในใจคิด

"คงดี ถ้าเราเอ่ยคำบางคำ"



กลัวจะสายเกินไป เพราะรู้ว่าเวลาไม่เคยคอยใคร

"เมื่อรักใคร ต้องพูด" เตือนตัวเองอย่างนั้น

ตัดสินใจกลับที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง พร้อมถ้วยกาแฟเติมใหม่

กาแฟเย็นชืดถ้วยเก่า ถูกเททิ้งลงท่อไปแล้ว



เธอยังนั่งที่เดิม สายตายังคงมองที่เดิม

ผมยกกาแฟจิบ สายตาเหลือบขึ้น มองไปที่เธอ

สายตาจับตรงที่ดวงหน้าเธอ... ครั้งแรก



เธอสวย .... มาก.... มาก



ผมพูดขึ้น "ขอโทษครับ ผมคิดว่าผม.."

เธอเงยหน้ามองผม ยิ้มให้นิดๆ "คะ"



ผมเงียบ หรือความเงียบคือสิ่งสุดท้ายของผม

โลกหมุนติ้ว จักรวาลคืออะไร ช่างมัน

ผมมือสั่น... ถ้วยกาแฟที่ถือ คล้ายจะสั่นด้วย

กาแฟร้อนสดใหม่ คล้ายจะหก



"ผมคิดว่าผมควรพูดบางอย่าง..ครับ..เอ่อ.."

เธอยังคงยิ้มน้อยๆ สวย... มาก ...มาก

"ผม... ผมชอบคุณครับ"



ผมพูดไปแล้ว ช่างเหมือนโลกแตกเป็นสิบเสี่ยง

จักรวาลคืออะไร ผมรู้แล้ว เวลานี้เอง

ใบหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นรัวเหมือนโดนตีด้วยสแนร์

ปากสั่น มือสั่น ขาสั่น คอแห้งผาก เหงื่อเหมือนจะไหล



".." เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่คำพูดของเธอจะผ่านตามมา

"ขอบคุณที่บอกตรงๆนะคะ" เธอผมมองหน้าผม ยิ้มน้อยๆ

"เราลองคบกันนะครับ" ผมพูดตรงๆ

"ค่ะ" เธอตอบผมตรงๆเหมือนกัน



....



จักรวาลคืออะไร ตอนนี้ผมรู้แล้ว

"จักรวาลคืออะไร ... ก็ช่างมันเถอะ"



นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้จากคำว่า "รัก"

SAW III

เมื่อวันเสาร์ ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่อง SAW III ครับ
เนื้อเรื่องของหนังเกี่ยวโยงกับภาค 1 และ 2
ภาพโหดๆ มีให้เห็นในหลายๆ ฉาก แบบออกจะมากไปด้วย
เช่น ฉากเปิดกระโหลก ฉากตัดขา ฉากบิดแขนขาตัว
ฉากหัวแบะโดนลูกปืน ฉากหัวแบะโดนระเบิด ฉากแก้ผ้าในห้องแข็ง
และอื่นๆ

นับว่าเป็นหนังโหดที่จงใจโชว์ความโหดแบบจะๆ อีกเรื่อง
คงไม่มีอะไรมาก ถ้าผู้กำกับต้องการเอาชนะ Hostel
ในแง่ความโหดสยอง ผมว่าก็น่าจะผ่านนะครับ
แต่ยังไง หัวใจของหนังคือเนื้อหา
ซึ่งแม้จะเน้น graphic โหดๆ แต่เนื้อเรื่องของภาคนี้
ก็ยังดี ไม่ห่วยๆ หรือสุกเอาเผากิน ดูสนุกใช้ได้เลยครับ

พฤศจิกายน 29, 2549

ฟังเพลงก่อนนอน

เสียงดังจากหูฟัง Bose รุ่น TriPort (around-ear)
เสียบต่อเครื่องเล่น DVD-Portable Next Base
เปิดเสียงดังปานกลาง เพลงที่เปิด ซีดีอัลบั้ม Make Believe
วง Weezer

เสียงเพลงผ่านหูฟัง เป็นเสียงที่ดีมากๆ ชัดใส ละเอียด
เบสทุ้มได้อารมณ์ แหลมใสเกร็ดหิมะ
แยกแยะรายละเอียดเครื่องดนตรี และเสียงประสานได้
หลับตา (นอน) ไป ฟังเพลงไป แม้เสี่ยง
ตื่นขึ้นมาหูฟังอาจบิดเบี้ยว
แต่ก็อดใจไม่ได้ ที่จะฟังเพลงผ่านหูฟังก่อนนอน
มันเพราะจับใจ ความสุขดังๆ ที่อยากให้คนอื่นมาแชร์
แต่ต้องเป็นเจ้าตัวเท่านั้น สัมผัสเอง
ตามรสนิยม ตามความชอบ
ดนตรีไม่มีข้อแบ่ง ใครแยกประเภทดนตรี
ถือว่าไม่เข้าใจดนตรี ดนตรีไร้พรมแดน
ฟังเพลงเพื่อความสุข เพื่อยกระดับ
หรือฟังเพลงเพื่ออะไร
ผมไม่แน่ใจนัก ... แต่อดไม่ได้ที่จะฟังเวลาก่อนนอน
(ถ้าไม่ง่วงจนหยิบหูฟังมาครอบหูไม่ไหว)

พฤศจิกายน 27, 2549

เล่าเรื่องเมื่อคืน

ท้ายที่สุด เมื่อคืนก็ไปถึงงานแต่งงานพี่ฝน ไม่ทันเจ้าสาวเจ้าบ่าว ยืนถ่ายรูป
เวลาออกจากบ้าน 6.45 เวลาเริ่มงาน 6.00 (แล้วมันจะทันไหม)
เพราะวันนี้ช่วงบ่าย พาหุยไปบ้านแม่ จ้างคนมานวด (อยู่ไฟ) หลังคลอด
คนนวดมาสาย กว่าจะเสร็จเกือบห้าโมงครึ่ง กว่าจะกินข้าวเย็นที่บ้านหุย
แล้วออกจากบ้านหุยก็เกือบหกโมง มาถึงบ้านก็ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว
กว่าจะถึงงาน ไม่ทันเลย เฮ้อ ดีที่ตามถ่ายรูปทีหลังได้นะเนี่ย ไม่งั้นแย่เลย

ปล. พี่ฝนคือพี่ที่ทำงานที่ผมสนิทสนมมาก เพราะความจริงใจ ง่ายๆ ไม่มีพิธี
คือสบายใจเวลาคบกันไม่ต้องปั้นหน้า ไม่พอใจก็คุย ไม่มีทำตัวหน้าหลังไม่ตรงกัน
รู้สึกว่าพี่ฝนลาออกไป ผมก็เลยไม่มีเพื่อนสนิทเหมือนเดิม
แต่ตอนนี้พี่ฝนได้แต่งงานแล้ว ดีใจด้วยจริงๆครับ

พฤศจิกายน 26, 2549

งานแต่งงานพี่ฝน

วันนี้ ตอนเย็น จะไปงานแต่งงานพี่ฝน
เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจเอารูปมาโพส หรือมาเล่าให้ฟังกัน :)

ปล. สำหรับผมการแต่งงานคือการเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างเป็นทางการ
แต่สำหรับบางคน การแต่งงานคือการผูกมัด
แต่สำหรับบางคน การแต่งงานคือการสิ้นเปลือง
แต่สำหรับบางคน การแต่งงานคือจุดจบของความซน

จุดแรกของการมีครอบครัวของตัวเองคือการแต่งงาน
จุดสองคือการมีลูก
จุดสามคือการที่ลูกเติบโตพอที่จะไปมีครอบครัวเอง
จุดสี่คือการที่ลูกมีลูก
จุดห้าคือการจากไป....

พฤศจิกายน 24, 2549

ย้ายชั้น

วันนี้ ส่วนของผม จะย้ายชั้นทำงานลง หนึ่งชั้น
ตอนเช้าจะมีคนมาขนโต๊ะเก้าอี้ และทีมจะทยอยย้ายกัน
ตอนนี้โต๊ะโล่งสะอาดตาผิดปกติ เพราะไม่มีคอมพิวเตอร์
โดนยักย้ายถ่ายเทไปหมดแล้ว

วันนี้คงไม่ค่อยได้ทำงานเท่าไร เพราะอยู่ในช่วงย้ายชั้น
วันจันทร์ จะได้ทำงานชั้นใหม่แล้วสิ :)

พฤศจิกายน 23, 2549

กลิ่นบางกลิ่น ทำให้นึกถึงที่บางที่

วันนี้ตอนเข้าลิฟต์ที่ทำงาน ได้กลิ่นบางกลิ่น
ทำให้นึกถึงบางสถานที่ในชีวิต
บางครั้ง ช่วงเวลาประทับใจ ถูกจารึกไว้ด้วยกลิ่น
กลิ่นบางกลิ่น ทำให้นึกไปถึงสถานที่บางที่

จำได้ว่า มีกลิ่นหนึ่ง เป็นกลิ่นน้ำหอม ได้กลิ่นตอนไปเรียนซัมเมอร์
ตอนนั้น อายุประมาณ 16 สถานที่เรียนภาษา
ประเทศอังกฤษ ที่นั่น ได้รู้จักเพื่อนๆ หลายคน
บางคนเป็นรุ่นเดียวกัน บางคนเป็นรุ่นน้อง บางคนเป็นรุ่นพี่

สิ่งที่ประทับใจที่สุด คือตอนไปเที่ยวบาร์ แล้วเรากินช็อคโกแลตร่วมสาบานกัน
กินแล้วส่งต่อ ชฮคโกแลตเหลวๆ ผ่านหลายๆปาก หลายๆลิ้น น้ำลายเลียๆ

ส่งมาเรื่อยๆ เราสนิทกันดีมากๆ ไม่น่าเชื่อ ช่วงเวลาสั้นๆนั้น
เวลา 6 สัปดาห์ ที่อยู่ที่นั่น ให้พลังบางอย่างกับผม
................
และ chocolate ก่อเกิดสิวจำนวนมาก หลังจากกลับมา :P

พฤศจิกายน 22, 2549

นางฟ้าประจำใจ

ไม่รู้ว่าใครเคยบอก ถ้าคิดจะรักต้องรู้จักให้อภัย
ใครบางคนที่ว่า คงเคยทะเลาะกับคนที่ตนรัก
เวลาทะเลาะ ให้นึกถึงคลื่นชายทะเล
เวลาคลื่นสงบ ฟองขาวกระทบหาดบางเบา
แต่เวลาคลื่นแรง ฟองขาวกระทบโขดหิน กระจาย

ในชีวิต คนเรา ย่อมเคยรู้สึกรักใครซักคน
เพียงแต่จะมีกี่ครั้ง ที่รักนั้นจะสมบูรณ์
เวลาผ่านไป นาน แค่ไหน ความรักเดิมยังอยู่
แสดงให้เห็นว่า บางครั้ง ความรักที่แท้
ไม่ได้อยู่ที่อะไรเลย แต่อยู่ที่ใจ

รักครั้งแรกของผม ที่ผมคิดว่ามันคือรัก
เกิดตอนที่ผมเรียนป.5
เธอเป็นเด็กเก่ง ตัวเล็กๆ จำได้ว่า ผลสอบ
ประถม 6 ทุกห้อง เธอได้ที่หนึ่ง หรือที่สองเนี่ยแหล่ะ
ม.ต้น เรายังเรียนที่เดียวกัน
แต่เพราะบางอย่าง ทำให้ผมไม่กล้าจีบเธอ
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก
ทุกวันนี้ เธอก็ยังอยู่ในความคิดของผม
ในฐานะที่เรียกว่า "นางฟ้าประจำใจ"

"น้อย ... ถ้าเธออ่าน blog นี้
จำไว้ว่า เธอคือผู้หญิงคนแรกที่เรารัก
แม้ตอนนี้เราจะไม่ได้รักเธอแบบผู้ชายรักผู้หญิง
แต่เราก็ยังคิดว่าเธอคือนางฟ้าของเรา
จำได้ว่าตอนเราทรมานเพราะการทะเลาะ
สมัยที่เราจีบภรรยาเรา
เธอ ซึ่งเรียนหมออยู่ตอนนั้น
บอกเราว่า ไม่ต้องไปหาจิตแพทย์
และให้กำลังใจเรา ตอนนั้นจำได้ดี
ขอบคุณนะ นางฟ้าประจำใจ ของเรา"

พฤศจิกายน 21, 2549

รำลึกอดีตตอนไปเรียนโทที่มะกัน ตอนที่ 1 เล่าเรื่องที่เท็กซัส

ย้อนกลับไป เมื่อปี 2001 วันที่ 31 พค ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง จุดเริ่มต้นการไปใช้ชีวิตที่อเมริกา ผมได้รับตอบรับจากมหาวิทยาลัยบริจพอร์ต คอนเน็คติกั้ต ให้เรียนต่อปริญญาโท สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ได้แล้ว แต่เนื่องจากอยากเรียน โท ทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มากกว่า จึงวางแผนว่า จะใช้วิธี ไปหาโรงเรียนภาษาที่ เท็กซัส เพื่อหาลู่ทางสมัครยู ที่รัฐ เท็กซัส และเรียนที่เท็กซัส ยกเลิก ที่บริจพอร์ตเสีย

วันที่เดินทาง ไม่รู้ว่าจะไปนานแค่ไหน ถึงจะมีเป้าหมายว่าจะไปทำอะไร แต่เนื่องจากยังไม่ชัวร์ว่าจะได้มหาวิทยาลัยที่ต้องการไปเรียน ใจจึงตุ้มๆต่อมๆ อีกสองปี ข้างหน้า เป็นอย่างน้อย ผมจะต้องไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ณ ดินแดนแปลกหน้า ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก (จริงๆ อเมริกา มีคนพูดภาษาสแปนนิช เยอะมากๆ บางทีอาจจะครึ่งๆด้วยซ้ำ)

ระหว่างรอต่อเครื่อง จาก มินิโซตา ไปเท็กซัส บันทึกไว้ว่า "เครื่องบิน Delay ไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จึงจะสามารถขึ้นไปนั่งได้ ก่อนขึ้นเครื่อง ได้โทรศัพท์ไปหาสุดที่รัก 2 ครั้ง ครั้งแรกตีสามเศษเวลาไทย และอีกครั้ง เวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า ได้ยินเสียงเธอร้องไห้ ทำเราสะเทือนใจเหมือนกัน การเดินทางครั้งนี้ คือการเดินทางมาศึกษาต่อที่คาดว่าต้องยาวนานแน่ๆ ดังนั้น เตรียมใจอย่างเดียว แล้วก็เตรียมลุยด้วย ต้องลุยหาที่เรียนให้ได้…" สุดที่รัก หมายถึง หุย ภรรยาของผมนั่นเองครับ

ชีวิต ที่เท็กซัส ออซติน ผมเรียนภาษาที่ University of Texas at Austin ที่นั่น ผมได้รับการอนุเคราะห์อย่างดีเยี่ยมจากพี่เปิ้ล ซึ่งเป็นรุ่นพี่ ห้องวิศวะ ที่เตรียมอุดมฯ และเรียนรุ่นเดียวกันที่วิศวะจุฬา (ผมสอบเทียบ) เธอมาเรียน วิศวะสาขาเครื่องกล ที่นี่ และช่วยเรื่องหาที่พักให้ เป็น ดอร์ม ที่เธอเคยอยู่มาก่อน (แต่ย้ายออกแล้ว ณ ตอนนั้น) ชื่อว่า Texana (รู้สึกจะแปลว่า ชาวเท็กซัส) คือ คนเท็กซัส จะมีอีโก้นิดนึง ตรงที่จะคิดว่าตัวเองเป็นชาวเท็กซัส มากกว่าจะคิดว่าตัวเองเป็นชาวอเมริกา เหมือนเป็นความภูมิใจที่เกิดมาเป็นชาวเท็กซัส อะไรประมาณนี้น่ะครับ

เพื่อนคนไทย ที่ผมได้พบ มีหลายคน แต่คนที่ผมจะสนิทที่สุด ชื่อหนุ่ม polsak (ชื่อเล่นเดียวกันเลย แต่ผมให้คนอื่นเรียกว่า ดร ตอนเด็กๆไม่ชอบให้ใครเรียกว่าหนุ่ม) polsak เรียนวิศวะโยธา จบจาก ม.เชียงใหม่ เป็นคนเก่ง และตั้งเป้าจะเรียนโท ที่นี่ (แต่สุดท้ายได้ที่มิชิแกน) ที่โดดเด่นมากๆ แกมหน้าหมั่นไส้คือ ตอนแรกที่รู้จักกัน มันไม่ยอมบอกว่าเป็นคนไทย ทำฟอร์มเป็นไม่รู้จักผม ไปๆมาๆ ก็ได้รู้ว่า คนไทย แต่เราสองคนไม่คุยกันเป็นภาษาไทยนะครับ เราคุยเป็นภาษาอังกฤษ กระแดะมากๆ เพราะหนุ่มมันไม่ยอมคุยเป็นภาษาไทย บอกว่าจะคุยอังกฤษเท่านั้น (แต่ก็ดี มันทำให้ได้ฝึกใช้ภาษาไปในตัว)

ที่โดดเด่นอีกข้อคือ มันแดกเหล้าเก่งชิบหาย สมเป็นโยธาจริงๆ บ่อยๆเลย ณ เวลา หลังเลิกเรียน ผมจะไปที่ห้องพักของ polsak หรือไม่ก็ไปที่บ้านพักของเพื่อนเกาหลี จากนั้นก็เปิดเหล้า ดื่มๆๆ แกล้มมันฝรั่ง หรืออะไรก็แล้วแต่ จนผมคิดว่าตัวเองช่วงนั้นคอแข็งขึ้นอย่างถนัดตา คือปกติ ไม่ใช่คนที่ชอบดื่มเหล้าจัด นานๆ ที ไม่บ่อย แต่ไม่ได้แอนตี้ ดื่มได้ ถ้ามีโอกาส

บันทึกการไปกินบ้านหนุ่มครั้งแรกไว้ว่า
" Texas, Austin 29 June 2001
วันนี้เป็นวันศุกร์ ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากช่วงเย็น!! เย็นวันนี้ หลังเลิกเรียน เรา , นายหนุ่ม (คนไทยที่เรียนที่นี่เหมือนกัน , Henna (Korea) และ Hyaun Gun (Korea) ไปหาอะไรทานกันแถวๆบ้านหนุ่ม เป็นร้านไก่ อร่อยเหมือนกัน แล้วจึงไปดื่มเหล้ากันที่บ้านหนุ่มต่อ คุยกันไปกันมาสนุกสนาน เล่าเรื่องเรามีแฟนแล้วให้ทุกๆคนฟังด้วย และก็คุยเรื่องเกาหลี ไทย โดยนั่งดูทีวี ซึ่งบ้านหนุ่ม มีเคเบิ้ล เสียเดือนละ 70$ ด้วย นั่งจนกระทั่งสี่ทุ่ม จึงเดินไปส่ง Henna ที่ป้ายรถเมล์ นั่งรอเป็นเพื่อน เธอถามเรื่องหุยด้วย ผมก็เล่าว่าแฟนผมนะ ขาว ผมชอบคนเอเชีย ขาวๆ เพราะอยากให้ลูกเราขาว เธอก็เล่าเรื่องเธอมีแฟนแล้ว และขอบคุณเราที่รอรถเมล์เป็นเพื่อน (ดึกแล้วกลัวไม่ปลอดภัย ชายไทยซะอย่าง Lady First ครับ ขอโทษ) ได้ความรู้หลายอย่างเกี่ยวกับชายเกาหลี ที่ค่อนข้างกดขี่หญิง ไม่ดีๆ แค่เรื่องเงินเดือนผู้หญิงที่ตำแหน่งเดียวกันกับชาย ชายจะได้เงินเดือนสูงกว่าก็รู้สึกไม่ดีแล้ว แย่ๆ ประเทศนี้ ไม่ไหว เฮ้อออ กลับมาเมาแอ๋เลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!"

สำหรับเหตุการณ์ สนุกๆ ก็มี เช่น บันทึกวัน ID4 ไว้ว่า
" Texas, Austin 4 July 2001
วันนี้คือวัน Independent's Day (ID4) ของชาวอเมริกา มีนัดตั้งแต่ 10.30 am กับเพื่อนๆชาวเกาหลี และชาวไทย ประกอบด้วย (หนุ่ม) พรศักดิ์, ช่อง กัน, เฮนน่า และ ชางอึ้น วางแผนว่าจะไป Park ที่มีงานเฉลิมฉลอง ที่แรกที่ไป นั่งรถบัสสาย 1 ไปลงที่หน้า Capital เพราะสองสาว ไม่เคยมา เลยพาเข้าไปชมก่อน เดินอยู่ประมาณชั่วโมงหนึ่ง พรศักดิ์หิว เพราะไม่ได้ Breakfast มา เลยเดินจาก Capital ลงไปตาม 6th Street ซึ่งกลางคืน จะคล้ายๆ RCA ไทย คือเป็นแหล่งรวมผับ เดินไปไม่ถึง แวะเข้าร้าน Wendy ก่อน เราล่อแฮมเบอร์เกอร์เนื้อ ไป 1 อัน อิ่มแปล้ จากนั้น ตกลงกันว่าจะไป Zilker Park ที่คาดว่าจะมีพาเหรด หรืองานเฉลิมฉลอง ไปถึงไม่ค่อยมีอะไร โชคดีหน่อย ที่นี่มีแหล่ง ว่ายน้ำ และพายเรือเล่น อากาศร้อนจัด แต่พวกเราก็ตกลงจะเช่าเรือ สองลำ ออกไปพายในแม่น้ำ ลำแรก ชายหนุ่มสองนายไปด้วยกัน อีกลำ เราอาสานั่งตรงกลาง เผื่อสาวๆสองคนตกน้ำ จะได้ช่วยทัน (ไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาตัวรอดหรือเปล่าด้วยซ้ำ ไม่ได้ว่ายนานแล้ว) แดดโคตรร้อน ย้ำ ดำสนิท อ้อ ลืมบอกไป ค่าเช่าชั่วโมงละ 7.75$ ต่อลำ ดีหน่อยที่มาหลายคน เลยหารคนละ 3.20$
ขากลับ นั่งรอรถบัสกันชั่วโมงกว่า ไม่มีมา ผิดปกติ ตอนหลังพบว่าเขาปิดถนนทางที่รถบัสจะวิ่งมาได้ โชคดีที่ เฮนน่า มีเพื่อนมารับ เลยพามาส่งที่ UT สบายไป เฮ้ออออออออ"

หรือตอนไปเที่ยว สวนสนุก Six Flag ที่ San Antonio ก็บันทึกว่า
" Texas, Austin 4 August 2001
วันนี้ตื่นเช้า นัด 7.30 แต่สายเล็กน้อย จากนั้นขับรถไปรับชางอึ้น ที่บ้าน มาสายเล็กน้อย ขับรถไปเรื่อยๆ ไปยัง San Antonio แวะ HEB ซื้ออาหารเช้า และกาแฟ ขับรถไปเรื่อยๆ หลงเล็กน้อย ไปถึง จ่ายค่าเข้าชม 39$ ต่อคน!! เข้าไปเล่น Roller Coaster จำนวนมาก ลืมเอาหมวกไปด้วย ร้อนมาก หน้าดำแน่ๆ อาหารกลางวัน ซื้อขาไก่งวงกิน อันใหญ่ ราคา $4.50 รสชาติไม่ดีนัก จากนั้นไปเล่นเครื่องเล่นกันต่อ ติดใจเครื่องเล่นที่ชื่อ Rattler เป็น Roller Coaster ที่ดูเก่าๆ ทำจากไม้ เวลาเล่นจะสั่นๆ เหมือนจะพัง แถมเสียวยาว เสียวหลายจุด และมีเข้าถ้ำด้วย ชอบมากๆ ติดใจ นอกจากนั้นก็มีแบบที่เร็วตอนแรก เร่งเร็วจี๋ ไม่มีโอกาสกรี๊ด เสียวตลอดศก แล้วก็ยังมีอันหนึ่ง เป็น Superman สนุกมากเช่นกัน เพราะเป็น Roller Coaster ที่ไม่มีที่วางขา ขาต้องห้อย เสียวดี แถมตีลังกาหลายหนมาก สนุกสุดเหวี่ยง เกี่ยวกับน้ำๆ ก็เล่นสองสามอัน สนุกไปอีกแบบ มีแบบคล้ายๆล่องแก่ง เมืองไทยด้วย เล่นกันจนประมาณทุ่มนึง เราก็ขับรถกลับ ก่อนกลับบ้าน แวะที่ร้านอาหารทะเล ตรงถนน 6th street เจ๋งมาก อยู่ปลายๆ ย่าน Down Town ของ Austin อาหารรสชาติดี เป็นอาหารทะเลแบบปรุงเผ็ดในตัว และไม่มีจานหรือช้อนส้อม ใช้มือลุ้นๆ ดูป่าเถื่อนหน่อยๆ (สนุกดี) และปูรองโต๊ะด้วยกระดาษสีขาวสะอาดตา แถมมี สีเทียน ให้วาดเล่นในกระดาษที่โต๊ะอีกด้วย ระหว่างรออาหารมาเสริฟ เป็นไอเดียที่เก๋มากๆ เหมาะกับคนทำร้านอาหารที่สร้างสรรค์จัดๆ ที่เมืองไทยไม่รู้มียังนะครับ ร้านแบบนี้ แต่ผมว่าจะ Work มากเลย ถ้าเป็นร้านอาหารทะเล เพราะได้กินปูกินกุ้งกันกระหน่ำ แต่ก็แพงพอควร กลับไปวันนี้ไม่ได้ซักผ้าเพาะผงซักฟอกหมด"

วันสุดท้ายที่อยู่ที่ Texas เราเช่ารถขนของยูฮอ กัน เพื่อนร่วมเดินทางมีผม หนุ่ม และเฮนน่า เป้าหมายที่ไปคือ มิชิแกน แล้วผมจะไปต่อที่บริจพอร์ต เป็นการขับรถ truck ขนาดเล็กครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ แถมพวงมาลัยซ้ายอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนออกเดินทางเพียงหนึ่งวัน ถึงได้รับใบขับขี่ ที่ไปสอบไว้ที่ Texas (สอบปฏิบัติตกครั้งแรก ครั้งที่สองจึงผ่าน เซ็งมาก เพราะอะไร เพราะเราผ่านทางแยกที่ไม่มีป้าย Stop เราชะลอ เพราะอะไร เพราะเมืองไทย ผ่านสี่แยก ถ้ามึงไม่ชะลอ มึงมีสิทธิโดนสวน แต่ที่อเมริกา เห็นป้าย Stop เขาต้องหยุดนิดนึง เพื่อให้ทางเอก ต้องไม่มีรถก่อน หรือถ้าเป็นสี่แยกก็สลับกันขับ เมืองไทยมันใช้ไม่ได้ครับ ถ้าคนคุมสอบมาเมืองไทย สงสัยโดนสิบล้อสอยไปแล้ว 555)

พฤศจิกายน 19, 2549

Double "O" Seven - Casino Royale

หนังเจมส์บอนด์ ตอนล่าสุด เล่าเรื่องการกำเนิดของ เจมส์ บอนด์ แต่น่าสงสารว่า หนังเรื่องนี้เขียนมายาวนาน ตั้งแต่รุ่นพ่อผมยังหนุ่ม ตอนแรกชื่อ "Dr.No" นำแสดงโดย ณอน เคนเนอรี่ นานแล้ว จริงๆ จะว่าไป ตอน Casino Royale เนี่ย ต้องเป็นตอนที่ก่อน Dr. No เสียอีก แต่อะไรรู้ไหมครับ
 
เจมส์ บอนด์ ของเรา ใช้มือถือ แบบ PocketPC ที่ต่อ GPS ไว้ดูเส้นทาง ตอนเดินทางฉากหนึ่ง ไปโรงแรม
 
สมัย Dr. No เนี่ย อย่าว่าแต่ Pocket PC เลย คอมพิวเตอร์สมัยนั้น น่าจะมีแต่ MainFrame เครื่องเท่าตึก ฮ่าๆๆๆ
 
เอาเป็นว่า หนังดูแล้ว ไม่ถึงกับสนุกเท่าไร ผมชอบภาค ที่เพียช เล่นมากกว่า ถึงมันจะดูไม่ซีเรียส โหดหิน แมนๆ เท่าภาคนี้ แต่มัน "ตื่นตา ตื่นใจ" กว่าเยอะเลย แถมภาคนี้ไม่เน้นสาวๆ ฉากเพลงเปิดยังไม่มีรูปสาวๆ เลย และเพลงก็แต่งใหม่ด้วย ร้องโดย คริส คอรเนล แห่ง audioslave สุดเท่!
 
สรุป อย่าคาดหวังอะไรมากกับ casino royale แล้วจะดูเพลินๆ ครับ

พฤศจิกายน 17, 2549

วง RiverMaya

วง rivermaya เป็นวงจากฟิลิปปินส์ครับ
คุณ วรชาห์ สมาชิกเวบบอร์ดไต้ฝุ่นแนะนำให้ผมรู้จัก
โหลดเพลงที่คุณ วรชาห์แชร์ไว้ 2 เพลงแล้วรู้สึกดี
เสียงร้องของคนฟิลิปปินส์นี่ สำเนียงฝรั่งจ๋าเลย
ฟังแทบไม่ออกว่าไม่ใช่ฝรั่งแท้นะเนี่ย

เนื้อเพลงก็ดีนะครับ ลองหาฟังกันได้ ออกกับ วอร์เนอร์มิวสิก

พฤศจิกายน 16, 2549

ความฝัน...เมื่อเช้า

วันนี้ตอนเช้า ผมตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์
หุย (เมียสุดที่รัก) โทรมาปลุกจากบ้านแม่ของเธอ
หกโมงเช้าตรง ผมลุกไปรับสาย และ แปรงฟัน
จากนั้น ผมก็ลงไปจะอุ่นกับข้าว
ก่อนเข้าไปอุ่น ขอนอนงีบเบาๆ ซักพักก่อน ที่โซฟา

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เวลาหลับสั้นๆ ระหว่าง 6.10-6.45
ผมฝันเป็นเรื่องเป็นราว

จำรายละเอียดไม่ได้มากมายนัก แต่จำ climax ของฝันได้ดี

มันคือ... ตอนนั้นผมขี่จักรยาน
ไม่แน่ใจนักว่ามีใครซ้อนท้าย
ตอนจะเลี้ยวซ้ายที่ทางแยก
มีรถ ขับอยู่เลนขวา ซึ่งก็จะเลี้ยวซ้ายเหมือนกัน
ก็มีการเบียดเข้ามาจนผมเลี้ยวไม่ได้
เพราะเกือบจะชนผมอยู่แล้ว

ผมหยุด ทำหน้าส่ายหน้าแบบหน่ายๆ
ทันใดนั้นเอง ชายเจ้าของรถหยุดรถกึก
ลงจากรถ แล้วชักปืนจะยิงผม
ผมจับมือมัน กดลงต่ำ กระสุนถูกสาดลงพื้น
หลายนัดเลย แปลก! ผมไม่กลัว

อาจเพราะ จิตใต้สำนึกบอกว่าผมไม่ผิด
ผมถูกมันปาดหน้าเห็นๆ ยังมาโกรธที่ผมทำหน้าหน่าย
แล้วลงมายิงผมอีก จะบ้าแล้ว..

แล้วก็ตื่นมาอุ่นข้าว รีบกิน เพราะต้องไปทำงานก่อน 7.15

เดี๋ยวไม่ทันรูดบัตร!

Shadowless Sword - กระบี่ไร้เงา (ภาพยนตร์เกาหลี)

หนังเรื่อง Shadowless Sword เป็นหนังเกาหลีฟันดาบโบราณ (ลูกเล่นแบบหนังฮ่องกง
ฟันดาบ แต่เทคนิคการถ่ายทำ เอฟเฟก และวิทธยายุทธ ถือว่าไม่เป็นรองหนังฮ่องกงเลย
แม้แต่น้อย!) เนื้อเรื่อง กล่าวถึงตัวร้าย ที่ต้องการแก้แค้น ผู้ที่ฆ่าบิดาและ
ครอบครัว จึงหมายจะล้มล้างตระกูลที่เป็นศัตรู ตัวร้ายได้ไล่ฆ่าพี่ๆ ของพระเอกจน
หมด เหลือพระเอกเพียงคนเดียว (ตอนหนังเริ่มต้นเรื่อง คือการฆ่าพี่คนสุดท้ายที่
เหลืออยู่)

นางเอกคือ ผู้ที่เยี่ยมยุทธ ที่ถูกส่งมาเชิญพระเอก ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์คน
สุดท้ายที่เหลือ ให้มา ปกครองแผ่นดินคนต่อไป พระเอกไม่ต้องการเป็นในคราวแรก และ
นางเอกคอยปกป้องพระเอกจากการถูกตามฆ่าของตัวร้าย

เรื่องราวสุดระทึก ตัดต่อดี ถ่ายทำสวย แถมยังมีฉากจบที่เรียกน้ำตาได้สบาย (
โรแมนติกดี) ขอแนะนำให้คนที่สามารถหามาดูได้ รีบหามาดูด่วนเลยครับ ไม่แน่ใจว่า
จะเข้าฉายในไทยหรือเปล่า แต่ผมได้มาจากการโหลดบิต เป็นดีวีดี ภาพใสกิ๊ก (เสีย
แต่เสียงไม่ตรงกับปาก นิดหน่อย)

ส่ง blog ผ่าน email

เนื่องจาก มี feature โพส blog ผ่าน email
ซึ่งน่าสนใจ เลยขอลองครับ
 
because the email posting feature is new for me
 
so this is a test posting thru email

พฤศจิกายน 15, 2549

ความเงียบเหงาของบอร์ดไต้ฝุ่น

หลังจากเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นที่บอร์ด
พี่สิบเด ก็เงียบหายไปจากวงการเวบบอร์ด
ตัวการสำคัญเกิดจากการทะเลาะกันเองในบอร์ด

ผมคิดว่ามันเป็นเรื่อง emotional conflict
เรื่องของอารมณ์ขึ้นๆลงๆ เหมือนงาน
วันเวลา สร้างความเคยชิน
เมื่อเคยชินก็กลายเป็นเบื่อ
พอเบื่อก็พาลเลิกไปเอง

คนที่ทำได้เรื่อยๆ ด้วยใจรักเท่านั้นแหล่ะครับ

ของจริง ... เวลาพิสูจน์คน จริงๆครับ

พฤศจิกายน 14, 2549

Multiple Self

หลังจากกลับมาคิดเรื่องหนัง the Prestige สองสามตลบ ถึงความเป็นไปได้ในการ multiple ตัวเราแบบทันทีทันใด แล้วกลายเป็นเราอีกคน (another self) บนเนื้อหนังของร่างกายนี้ ที่เราคง มันคือ self ของเรา ภาพ รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่รับรู้โดยเรา (self) นั้น เราย่อมรู้ดี อย่างมองเท้าตัวเอง แล้วบังคับเท้าให้กระดิก เราควบคุมมันเอง

แต่ถ้ามีตัวเราอีกคนเกิดขึ้นมาแบบสมบูรณ์ เหมือนเราทุกอย่าง เหมือนใจแยกไปควบคุมร่างสองร่างพร้อมเพรียงกัน คือใจมีดวงเดียว แต่กายมีสองกาย ลองเปรียบเทียบตัวอย่างจากเรื่องของการมองเห็น เราจะมองเห็นภาพซ้อนภาพกัน สองภาพ จากสายตา 2 คู่ คู่แรกเกิดจากสายตาของเรา อีกคู่เกิดจากสายตาของตัวเราในร่างใหม่ที่เกิดขึ้นมา จริงๆในการคิดแบบนี้มันเป็นอะไรที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ ใช่ครับ มันเป็นไปไม่ได้ถ้ามองในแง่ชัดลึกแบบนั้น แต่ถ้ามองในแง่ชัดตื้นล่ะ?

แง่ชัดตื้นในที่นี้ ผมหมายถึง ตัวเรา ที่ทรงอยู่ในร่างกายตัวเองนั้น เป็นไปได้ว่าเรากำลัง Simulate เหตุการณ์แบบชัดลึกที่ว่าอยู่ตลอดเวลา... อันนี้ยกตัวอย่างไม่ยากเลย เช่น ขณะที่เรากำลังทำงานอยู่ แล้วเราเปิดเพลงฟังไปด้วย เสียงเพลงที่เข้ามาในสมอง กับ การควบคุมร่างกายให้เคลื่อนไหวทำงานไปพร้อมๆกัน หรือประมาณว่า หูฟังเพลงแบบไม่จับเนื้อหา กับสมองนึกเรื่องงานที่เพ่งไปยัง ก็ดูจะเป็นการ “เห็น” สองสิ่งในเวลาเดียวกัน หรือ “ทับซ้อน” ทางการควบคุม self นั่นเอง

แต่ถ้ามองให้ตื้นเข้าไปอีก เราอาจกำลังมองได้ว่า จริงๆแล้ว ร่างกายเรา ชีวิตเรา ตัวเราเองนั้น ไม่ได้มีแค่ one self แต่เป็น multiple self ตลอดเวลา องค์ประกอบต่างๆของร่างกาย ทุกส่วนมี self ของตัวเองควบคุมอยู่ ไม่ว่าจะเป็น หู จมูก ปาก กาย ใจ สมอง เท้า อวัยวะเพศ ทุกอย่างมี self ของตัวเอง ทำหน้าที่ขนานกันไปตลอดเวลาไม่เคยพักผ่อน

ความคิดที่จะหลุดพ้นจากตัวเองได้นั้น เราต้องแยกเอา self ทั้งหมดออกมาให้ได้ จากนั้นเราก็ทำให้ self ทั้งหมด สลายหายไป ตราบใดที่ self ยังจับตัวกันอยู่ เราก็ยังคงอยู่ในโลกนี้ คือแม้ร่างกายจะตายแล้ว self ที่เป็นวิญญาณก็ยังคงอยู่ มันยังควบคุมเราอยู่ เราในที่นี้คือ หลายๆ self ถ้า วิญญาณเรากลับมาเกิดใหม่ในร่างอื่น ร่างอื่นก็จะกลายเป็นอีก self หนึ่ง ที่อยู่ในชาติปัจจุบัน เมื่อใดที่ยังคงมี multiple self เราก็จะยังอยู่ในวัฏสงสารตลอดกาล

แต่คราใดก็ตาม เราสามารถสลายแรงยึดเกาะ self ที่มีอยู่ดังกล่าวออกจากกันได้ เราก็จะกลับสู่ธรรมชาติ ไม่มีตัวตนหลงเหลือ ไม่มี multiple self – มีเพียง one self ซึ่งก็จะกลายเป็น สุญญตา ต่อไป หรือ นิพพาน...

พฤศจิกายน 13, 2549

รักแท้... รักแรกพบ...

…ถ้าใช่ ซักวันก็คงจะรักกันเอง ใครหลายคนเชื่ออย่างนั้น … แต่จะไม่ให้ทำอะไรเลยเหรอ...แมร่งงงง

ผมคิดว่า ผมสามารถเปลี่ยนความคิดของเธอได้ ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าในคราวแรกที่เข้าไปจีบ เธอไม่ได้ชอบผมเลย หลังจากที่ผมพยายาม และทุ่มเท ทั้งกายและใจ ทำให้เธอหันมาสนใจ และในที่สุดก็รักผม...

มันถูกต้องแล้วหรือ?

ความรักควรเกิดจาก รักครั้งแรกเท่านั้น ประมาณเห็นหน้ากัน แล้วชอบกันในทันที เมื่อเข้ามาคุยกัน ก็ยิ่งทำให้ความรักเติมเต็ม แบบนั้นเท่านั้นหรือไม่ ที่เรียกว่า รักแท้

แล้วรักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องจีบอีกฝ่ายหนึ่งเนี่ย ...

มันถูกต้องแล้วหรือ?

บอกผมทีครับ ผมอยากรู้มาก

พฤศจิกายน 12, 2549

The Prestige (มายวิทยากล)

The Prestige จัดเป็นหนังที่กล่าวถึง วิทยาศาสตร์ และ มายากล ในเวลาเดียวกัน เป็นการปะทะกันระหว่าง หนังวิทยาศาตร์ ที่โม้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังทำไม่ได้ กับ หนังชีวิตนักแสดงมายากล ได้อย่างพอดี และมีน้ำหนัก การตัดต่อทำอย่างไม่เรียงลำดับเหตุการณ์ แต่จะตัดสลับไปมาอย่างมีชั้นเชิง ทำให้คนดูไม่งง คือไม่ทำให้สลับสับสนโดยไร้ความหมาย แต่มีจุดหมายในการกระทำ น่าชื่นชมครับ

เรื่องนี้ นำแสดงโดยนักแสงหนุ่มไฟแรง สองคนที่ผมชื่นชอบฝีมือทั้งคู่ คนแรกเล่นเป็น โรเบิร์ต แองจี้ โดย ฮูจ แจ็คแมน (X-Men วูฟเวอรีน) และ คริสเตียน เบล (Batman Returns, Machinist) ซึ่งโชว์พลังการแสดงได้ดีเหมือนเดิม ดาราประกอบก็เล่นดีมากๆ ได้แก่ไมเคิล เคน แสดงเป็นคัตเตอร์ และ สกาเลต โจแฮนสัน แสดงเป็นโอลีเวีย ผู้ช่วยนักมายากล

จะว่าไปแล้ว หนังแนวที่มีสองคน สองบุคคลิก หรือ ไม่มีตัวจริง มีตัวจริง มีให้เห็นอยู่ในหนังหลายๆ เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น กรณี สองคน มีตัวจริง อย่างกรณี Fight Club ที่เผยตอนจบว่า จริงๆแล้วคือคนเดียวกัน หรือ สองคน มีตัวจริงคนไม่มีตัวจริงคน อย่างเรื่อง Sixth Sense แต่สำหรับเรื่องนี้ เป็นการแสดงถึง 2 คน (หรือมากกว่า) ที่มีจริง โดยแบ่งการมีจริงออกเป็น 2 เหตุผล เหตุผลแรกคือ ธรรมาชาติ ของการมี 2 คน อีกเหตุผลหนึ่งคือ เรื่องโม้ (แบบวิทยาศาสตร์)

ไม่ขอเล่ารายละเอียดหนังแล้วกันครับ เขียนแบบนี้คนไปดูก็ยังไม่รู้เรื่องว่าเป็นอย่างไร ยังลุ้นกันได้อยู่ จริงๆหนังทำให้เราเดาเรื่องได้ก่อนจบเรื่อง ดังนั้น plot ค่อนข้างสำคัญ อย่าเพิ่งรู้ ให้ลุ้นเอง

ประเด็นที่อยากเปิดคือ cloning ครับ

เรา (self) เห็น เป็น อยู่ ในร่างตัวเอง ถ้าเรา cloning ได้ แบบไม่ใช่สร้างสิ่งมีชีวิตจาก 0 ให้เป็น baby ที่มาจาก cell เรา แต่เป็นการสร้างปุบปับ แว้บเดียวได้อีกคน คนคนนั้น จะรู้สึกแบบเดียวกับเราไหม หรือ จะมี two self กัน คิดเล่นๆ นะ เพราะยังไง มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ ผมว่า

พฤศจิกายน 11, 2549

วันนี้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลฯ

วันนี้ ตื่นตั้งแต่หกโมงสิบห้า หุยโทรมาปลุก เพราะวันนี้นัดคุณหมอที่ รพ.บำรุงราษฎ์ เพื่อไปตรวจร่างกายประจำปี บริษัทออกเงิน คืนนี้ต้องมานอนบ้านหุยด้วย ก็เลยเร่งๆ หยิบนั่นหยิบนี่ ไม่ครบเท่าไร หลงๆลืมๆ แต่ก็ยังดี ที่ไปถึงรพ. เวลา 7.40 เวลานัดพอดี

ไปถึงก็สบายครับ คนเยอะจริง แต่ยังไม่เยอะมาก ได้ทำนั่นทำนี่ ตั้งแต่ เอาปัสสาวะไปตรวจ (ได้เยอะเชียว) ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ตรวจความดัน วัดสายตา เจาะเลือด ให้คุณหมอตรวจร่างกาย จนจบที่ X-Ray หน้าอก

หลังจากตรวจเสร็จ ลงไปแวะ McDonald ชั้น M ด้วย ซื้อชุด McFish ไป 85 บาท ไม่เพิ่ม 10 บาท หิ้วใส่ถุงกินในรถ เพราะต้องไป สำนักงานเขต ต่อ จะไปทำเรื่องย้ายน้องเฟย์เข้าบ้าน

ไปถึงเขต ปรากฏว่า ทำไม่ได้ มีแต่ลายเซ็นพ่อ (เจ้าบ้าน)ไม่พอ เขาจะเอาสำเนาบัตรประชาชนด้วยง่ะ เฮ้อ แบบนี้เลยโทรให้พ่อส่ง EMS มาให้ วันจันทร์/อังคารนี้ คงต้องเข้างานสาย เพราะต้องไปทำเรื่องที่เขตก่อนเข้าออฟฟิซ :)

บ้าน

ทุกวันนี้ สิ่งที่ดูเหมือนจะยาก มากๆ สำหรับ
วัยที่กำลังเติบโตมีครอบครัว และไม่มีทางบ้าน
สามารถ support ที่อยู่อาศัยให้แบบตกทอด
พวกเขา ที่เพิ่งเริ่มมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
เพิ่งแต่งงาน เพิ่งมีลูก ... และกำลังมองหา บ้าน

บ้านในที่นี้ ผมรวมทั้ง condo หรือ apartment
ถ้าคุณต้องการ "ซื้อ" บ้าน เพื่อต้องการเป็นเจ้าของ
ปัจจุบัน ราคาแพงมาก โดยเฉพาะถ้าอยู่ กรุงเทพ

เงินเดือน 2 - 5 หมื่น เป็นเงินเดือนประมาณ ป.โท
ทำงาน office กินเงินเดือน บ้านราคาหลังละ 5 - 10 ล้านบาท
ตี maximum 10,000,000 / 50,000 = 200 งวด !
ตีว่าต้องใช้จ่าย 5 หมื่นเนี่ย กับค่าอื่นๆ เหลือมาผ่อนได้ 25,000
ตีเป็น 400 งวด จ่ายงวดละเดือน

400 เดือน ! ปีนึงมี 12 เดือน 400 / 12 = 33.3333 ปี !

อายุเริ่มซื้อบ้าน ประมาณ 30 ขวบ จนอายุ ประมาณ 63 ขวบ ผ่อนบ้านหมด!
แต่... 25000 เนี่ย ไม่น่าได้ ตีเป็น 20000 น่าจะไหว

กลายเป็น กว่าจะผ่อนบ้านหมด ก็... อายุ 70 .. -_-"

แล้วใครละครับ จะไปทำได้ ถ้าทำงาน office !

เด็กขายพวงมาลัย

สำหรับคนที่เคยขับรถในบางกอก เมืองหลวงสุดหรู ศิวิไล มีจำนวนห้างสรรพสินค้ามากกว่าจำนวน ร้านแนว seven eleven ในบางเมือง อย่าง Waldorf (เยอรมนี)

มีใครมั่งครับ ถามที ที่ไม่เคยจอดรถติดไฟแดง ตามสี่แยกใหญ่ แล้วมีเด็กตัวเล็กๆ บางคนอายุไม่น่าเกิน แปดเก้าขวบ ยืนเกาะกระจกรถ แล้วมองเข้ามาด้วยสายตาไร้ประกาย เป็นดวงตาแห่งความเศร้า เป็นไปได้ … ส่วนใหญ่ไม่มองหน้าเด็กๆเหล่านั้นด้วยซ้ำ บางคนทำมือปัดไปมา เป็นที่รู้กันว่า “ไม่เอา” ถ้าเด็กน้อย ไม่ตื๊อจนเกินไป ก็จะเดินข้ามไปยังรถคันถัดไป บางคนโรคจิต เห็นเด็กหน้าตาน่ารัก เริ่มมีหุ่นของความเป็นสาว ก็เปิดกระจก แล้วทำเป็นพูดคุย ได้โอกาส หลอกจับไม้จับมือ ทะลึ่งมากอาจเลยเถิดไปจับก้นจับนม... หาเศษหาเลยกับความด้อยโอกาสทางสังคม... โคตรเลว

ผมอยู่ในกลุ่มแรก คือไม่มองหน้าเด็กๆเหล่านั้นด้วยซ้ำ เพราะอะไร หลายคนอาจมองว่าผมใจร้าย แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหรอกครับ แท้จริงแล้ว ผมเป็นคนขี้สงสาร ใจอ่อน แต่ในขณะเดียวกัน ก็อายมาก ในการทำอะไรก็ตาม ที่มี Reaction จากสิ่งที่กระทำด้วย อย่างกรณีนี้คือ ผมอายสายตาคนอื่นที่จับจ้องมายังรถ ถ้าผมเปิดกระจก แล้วซื้อ หรือ มองหน้าพูดคุยกับเด็กขายพวงมาลัย ก็อายสายตาของคนที่ด้อยโอกาสกว่าเราอีก ไม่รู้จะอายอะไรกันนักหนา ทั้งๆที่ ถ้าทำดีได้ ก็ควรทำ ใช่ไหมเล่า :)

พฤศจิกายน 09, 2549

free form กับ 10เดซิเบล

งานเขียนของพี่สิบเดซิเบล ได้ฤกษ์พิมพ์เป็นตอนๆ ลงในนิตยสาร ฟรีฟอร์ม เสียแล้วครับ ใครเป็นแฟนงานเขียนดิบเถื่อน มีคติ เหมือน flash back กลับไปกลับมา ห้ามพลาดเด็ดขาด ราคาเล่มละ 50 บาท วางขายแล้ว เล่มนี้เปิดตัว นิยาย i fine novel เป็นชุดที่เล่าเรื่องวัยเด็กของพี่สิบเดซิเบล ตัวละครหลักๆ เช่น ไอ หมู เป็นต้น อ่านแล้วจะติดใจน้อ

เปลี่ยนโฉม blog ครับ

เพื่อความสะใจ ผมเลยเปลี่ยนสีซะหน่อย
ต่อไปจะพยายาม update ให้บ่อยๆ
ห่างๆหายๆ ไปๆมาๆ วุ่นๆ

พรุ่งนี้วันศุกร์ วันเสาร์จะไปตรวจร่างกาย
ต้องงดอาหาร งดน้ำด้วยง่า T_T

อะไรคือสาเหตุที่เธอไม่ยอมมีแฟน ไม่ยอมแต่งงาน

จากประสบการณ์ ผมได้พบกับผู้หญิงที่หน้าตาดี หลายๆคนเลย
มีทั้งที่ไม่ยอมมีแฟน หรือมีแล้วเลิกกับแฟน แล้วก็ไม่มีแฟนอีก
บางคน หน้าตาน่ารัก ใช้ได้ แต่ดูออกจะห้าวๆ เหมือนทอม
บางคน หน้าตาหวาน นิสัยอาจไม่น่ารักเหมือนหน้าตา
ผมขอเป็น case ที่ผู้หญิงหน้าตาดี หรือปานกลาง “พอ” ที่จะ
มีคนชอบและอยากแต่งงานด้วยนะครับ เพราะถ้ากรณี
ผู้หญิงปล่อยตัวจนอ้วนมากๆ หรือไม่สวยเอาเลย แบบนี้
ไม่มีความจำเป็นต้องไปหาเหตุผลซ้ำเติม อยากได้ความเห็น
ที่เป็นกรณีกลางๆ น่ะครับ

คืออย่างนี้ ผมสงสัยครับว่า ทำไมผู้หญิงบางคนถึงเลือกที่จะ “โสด”
คิดเหตุผลเล่นๆ แล้วเอามาเรียงเป็นข้อๆ ตามความเห็นส่วนตัว
โดยมาจากประสบการณ์ตรง จากการดูในหนัง จากความเชื่อส่วนตัว ฯลฯ
เท่าที่พอนึกออก ก็ได้มาตามนี้เลย

1. เคยเจ็บปวดจากการมีความรัก แล้วแฟนคนแรก
ไปมีแฟนใหม่ ทำให้เธอเสียใจ และเกลียดผู้ชายไปเลย (เหมา)
2. เคยมีแฟน แล้วเคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟน แล้วเจ็บ ไม่สนุกเอาเลย
รู้สึกไม่สบายกายเอามากๆ ทำให้ขยาดการมีแฟน ไม่ชอบการมี
อะไรกับเพศตรงข้ามไปเลย เลยขอไม่แต่งงานดีกว่า
3. เคยโดนล่วงละเมิดทางเพศ เช่น โดนข่มขืน ทำให้ฝังใจ
เกลียดกลัวเพศตรงข้าม
4. รักใครบางคนเอามากๆ แต่เขาไม่รักตอบ ก็เลยตั้งปณิธาน
จะขอเป็นโสด รอเขาตลอดไป
5. ไม่แต่งงาน แต่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่รัก อาจเป็นในรูปแบบ
“เมียน้อย”, “สนุกมั่วชั่วข้ามคืน” ฯลฯ โดยมีทรรศนคติในชีวิต
ว่า “ความสุข” ที่คุณดื่มได้ ไม่คิดจะมีชีวิตที่ “ผูกมัด”
6. รักครอบครัวมาก ไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุล แม้กฎหมายจะ
เอื้อให้ “ไม่จำเป็นต้อง จดทะเบียนแล้วเปลี่ยนนามสกุลตามสามี” ก็ยังไม่ยอม
อยากเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ตลอดไป
7. นิสัยแปลกประหลาดจัด ทำให้ไม่สามารถคบชายคนใดได้จนเขายอม
ที่จะเอามาเป็นคู่ชีวิต เช่น เวลาไม่พอใจอะไรก็จะตะโกนคำหยาบ “xxx”
8. เจ้าชู้มากเกินไปจนชายใดก็ระอา แถมหลบเก่ง พอโดนจับได้ คนเลยหนีหาย

เอาแค่นี้ก่อนครับ ใครมีไอเดีย อะไรเสนอมา comment มาได้

พฤศจิกายน 03, 2549

ความตาย, ทฤษฎี ถังแห่งจักรวาล, สมชาย, พระเจ้า

ความตายคืออะไร ในหนังสือ hear the wind sing
ของ ฮารูกิ มุราคามิ (ฉบับแปลโดยคุณนพดล แห่ง
สนพ มติชน ชื่อว่า สดับลมขับขาน) มีคำกล่าวไว้
โดยตัวละครที่เรียกตัวเองว่า “ผม”สรุปได้ว่า ความตาย
คือการเปลี่ยนแปลง ... คือพัฒนาการ (หรือวิวัฒนาการดี)
... คือการที่ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย
จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ... ไหนลองบอกเหตุผลของคุณ
มาให้ผมฟังบ้างสิครับ...

คุณเคยคิดถึงความตาย เวลานอนหลับ

เสียวสันหลังวาบ รู้สึกปลายทางชีวิต มีการขีดเส้นกำหนดให้แล้ว
สำหรับมนุษย์ทุกชีวิต มองไปข้างหน้า เราอยู่ที่นี่ทำไมกัน
... ในเมื่อ จักรวาลมีข้อจำกัด ดวงอาทิตย์มีวันดับ โลกมีวันแตก
มนุษย์เกิดมาในช่วงหนึ่งของกาลเวลา แล้วก็ดับสูญ
สลายไปกลายเป็นอะไร...ก็ไม่รู้

กระนั้นเลย มนุษย์ที่ต้องการดิ้นรน พัฒนา สร้างสรรค์

ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ ทั้งในแง่ศิลปศาสตร์
หรือแม้แต่มนุษย์รากหญ้า หาข้าวมากรอกท้องไปวันๆ
ป้าหมายจริงๆ ของการทำสิ่งเหล่านั้นคืออะไรกันแน่
... ถ้าพวกเขาได้ทบทวนถึงความตายบ่อยๆ
จุดจบสุดท้ายบ่อยๆ อาจมีบ้าง ... Side effect …
เหงื่อแตก หวาดผวาตอนดึก ตื่นขึ้นมาใบหน้าเครียด
ร้องเรียกหาแม่.. และสุดท้าย เมื่อคิดจนเข้าใจ
และจำขึ้นใจแล้ว พวกความคิดที่ต้องการเป็นเจ้าของนั่น
เจ้าของนี่ อาจเบาลงได้บ้าง (เพราะสุดท้ายแล้ว
เราไม่มีอะไร เรามาจากความว่างเปล่า และกลับสู่ความว่างเปล่า)

ลองคิดเล่นๆ ถ้ากำเนิด เกิดขึ้นในโลกนี้ ... มีมาก่อน ...

จากนั้น เมื่อสิ้นอายุขัย ... ความตาย ถือครอง...
เราเริ่มต้นจากวันเกิด และจบสิ้น เมื่อวันตาย ... คำถามมีอยู่ว่า
จุดเริ่มต้น มีอยู่จริงๆหรือ... จุดเริ่มต้นแรกสุดคืออะไร ...
การตายคือการพัฒนาไปสู่... อืมมมม เอาอย่างนี้
ผมขอตั้งทฤษฎีแล้วกัน

[ถังแห่งจักรวาล]
เป็นที่ๆเก็บจุดที่เล็กที่สุดที่จะเล็กได้เมื่อแยกสิ่งที่จิ๋ว
ที่สุดออกย่อยที่สุด จำนวนของมันคือ เท่าที่ถังนี้เก็บได้
… ขอเรียกมันว่า “สมชาย”

กำเนิดของ สิ่งมีชีวิต และสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์
ธาตุ เพชร พลอย อากาศ เกิดจากการรวมตัวของ
“สมชาย” ทั้งนั้น แต่ความซับซ้อนเกิดจากการพัฒนา
เมื่อ “สมชาย” รวมตัวกันจนเป็นกลุ่มก้อนรูปแบบ
template ใด เข้า ก็จะเป็นเช่นนั้น เช่น “สมชาย”
รูปทรง A + “สมชาย” รูปทรง B = ออกซิเจน และ
เป็นแบบนั้นตลอดไป จะไม่มี “สมชาย” เหลือคราบให้เห็นอีก
ณ วินาทีที่ ถังแห่งจักรวาลถูกเขย่า ถือเป็นจุดแรกของทุกสรรพสิ่ง
เพราะจากนั้นเพียงไม่กี่วัน “สมชาย” ก็กลายเป็น “สิ่งอื่น” ...

ในทางพุทธศาสนา “นิพพาน” คือการกลับสู่ “สมชาย”
....
เพราะเมื่อกลับเป็น “สมชาย” เราจะไม่มีวันถูกรวมเป็น
“สิ่งอื่น” ได้อีก เมื่อเป็น “สมชาย” แล้ว ก็คือเป็น “สิ่งเดิม”

การจะกลับสู่ “สมชาย” ได้ ของมนุษย์ คือ จิตใจต้อง
สะอาด บริสุทธิ เพราะการแยก “สมชาย” ออกได้
ต้องอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะมองให้เห็น “สมชาย” ของตัวเอง

“สมชาย” เมื่อถูกพิจารณาจนเห็น ก็จะสามารถแยกออกจาก
เนื้อหนังมังสา กระดูก เถ้ากระดูก สมอง สติปัญญา ความคิด
ได้... แต่จะเป็นเมื่อเสียชีวิต ซึ่ง กลุ่มการรวมตัว “สมชาย”
หนึ่ง ที่เรียกว่า “วิญญาณ” จะหลุดจาก “สมชาย” กลุ่มการรวมตัว
ที่เรียกว่า “ร่างกาย” (แน่นอน ... ที่เน่าเปื่อย)

จะเห็นได้ว่า เรายังสามารถรวมความคิดแบบนี้
เข้ากับความคิดในเรื่อง “พระเจ้า” ได้อีกด้วย โดยคำถามที่ว่า
“ถังแห่งจักรวาล” เล่า ถือกำเนิดมาได้อย่างไร แนวความคิดผม
ถือว่า “ถังแห่งจักรวาล” เป็น ถังที่ตั้งอยู่ในห้องของพระเจ้า
ท่านมีถังนี้โดยแท้จริง ไม่มีกำเนิด ไม่มีสิ้นสุด ตั้งอยู่ตลอดไป
ม่ขึ้นกับกาลเวลา และคงที่เช่นนั้น

สรุปว่า ศาสนาพุทธ สอนให้เรากลับสู่ “สมชาย”
ซึ่งคือสิ่งที่เล็กที่สุด ก่อนสรรพสิ่ง ที่อยู่ในถังแห่งจักรวาล
จะรวมตัวกัน โดยถังนี้ เป็นถังของพระเจ้า ซึ่งไม่มีวันเกิด
ไม่มีวันดับ เป็นอย่างนั้น และเป็นอย่างนั้นตลอดไป
โดยศาสนาที่นับถือพระเจ้า จะสอนให้เราไม่ต้องกลับสู่
“สมชาย” แต่ให้ออกจากถังแห่งจักรวาล เพื่อไปหาพระเจ้า...

=D

ตุลาคม 31, 2549

blog ของลูกสาวครับ

http://nichapa.wordpress.com/

ลองเข้าไปดูกันได้ครับ

DEATH TRANCE

เมื่อคืนนั่งดู DVD ที่โหลดมาจากบิต ชื่อเรื่องว่า เดธ แทรนซ์
เป็นหนังญี่ปุ่น แนวฟันดาบไฮเทค (ที่มีทั้งปืน ดาบ มอเตอร์ไซต์!
ในฉากหลังที่เป็นญี่ปุ่นโบราณ) พระเอกที่เล่น คือคนเดียวกับ
พระเอกในเรื่อง Versus ของผู้กำกับริวเฮ แต่เรื่องนี้
ถึงแนวหนังจะทำให้นึกถึงผู้กำกับ ริวเฮ มากๆ แต่ไม่ใช่หนังของริวเฮ

ฉากเปิดเรื่อง เมื่อชายลึกลับกับกระบี่ เดินเข้าไปบุกวัด ที่มีรูปปั้นพระญี่ปุ่น
วางเรียงราย เต็มไปทั่ว ฉากจัดได้สวยมีเสน่ห์ ลึกลับน่าติดตาม
เป้าหมายของชายลึกลับผู้นี้คือ ขโมยโลงศพ ที่เก็บรักษาไว้ที่วัด
เป็นเวลากว่าร้อยปี การที่จะชิงโรงศพมาได้ พระเอกของเรา
ต้องฆ่านักบวช จำนวนหลายสิบคน ...

ฉากการต่อสู้ในแง่ของความสวยงามของท่าการต่อสู้ และความสมจริง ยังไม่ดีนัก
โดยรวมถือว่ายังไม่น่าพอใจ มีมากเกินไปด้วยสำหรับฉากต่อสู้ต่างๆ
แต่สิ่งที่เด่นมากๆ ของหนัง คือการสร้างตัวละคร และเครื่องแต่งกาย
ทำออกมาได้ดี ออกแบบกันดี ฉากก็ทำออกมาดี ถ่ายทำแสงสีสวยดี แต่...
เนื้อเรื่องออกจะสับสนปนเป ระหว่างเรื่องเทพ เรื่องบู๊ล้างผลาญ
และพระเอกดูมึนๆ ไปหน่อย ไม่มีนางเอก ไม่มีฉากโหดเลือดสาด ไม่มีฉากโป๊
หนังทำได้ไม่ถึงเพราะขาดสิ่งเหล่านี้ด้วย (ผมว่า)

เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เดินตามโลงศพที่ถูกขโมย
พระที่ได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาส ให้เอากระบี่ไปมอบให้
ผู้ที่สามารถชักมันออกมาจากฝัก (ด้ามดาบเหมือนลึงค์! แถมเต้นตุ้บๆได้บางที)
ตัวละคนเหล่านี้ จะพบได้ในหนังเรื่องนี้

สรุป ไม่สนุกเท่าไร ทำออกมาให้ดูดีเท่านั้น เอฟเฟกสวย
เนื้อเรื่องยังไม่ดี ฉากการต่อสู้ไม่สมจริงนักแต่ไม่เลวร้าย
ไม่เหมาะกับคนที่ชอบหนังมันส์ๆ
ที่เนื้อเรื่องดีๆ อย่าง อาซูมิ ซาโตอิชิ (ของคิตาโร่)
หรือแม้แต่ เวอซัส ก็ตามทีครับ ผมให้ 60 / 100 ครับ

ตุลาคม 28, 2549

เนื่องจาก blog เกี่ยวกับพระเจ้าของพี่ปราบดา

ความเห็นของผมต่อคนที่เข้ามา comment กระทู้เรื่องเกี่ยวกับ ศาสนา ครับ (อ่านรายละเอียดเพิ่ม กด link ที่ชื่อหัวข้อก็ได้)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ถ้าบุญชิตฯ อยากรู้ก็จงศึกษาให้ลึกกว่านี้จะเข้าใจเรื่องชาตินี้ชาติหน้าว่าทำไมถึงมีตรรก การที่เราไม่เห็นในตรรก ไม่ได้แสดงว่าไม่มีตรรก

ผมเปรียบคนอย่างบุญชิตฯ ว่าเป็นคนที่เพียงรับฟัง "ความหมาย" ของ "รสหวาน" แต่ไม่เคยได้ชิม "รสหวาน" จริงๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจสัมผัสหรือรับรู้ "รสหวาน" จริงๆได้เลย แม้เพียงนิด บางอย่างในพุธศาสนา ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการ "อ่าน" หรือ "รับฟัง" จริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่ต้อง "สัมผัส" เราอาจมองคนที่นั่งสมาธิ และรับฟังเรื่องที่ชีวิตหลังความตาย เรื่องชาติก่อน ชาตินี้ จากปากคนนั้นคนนี้ แม่ชีเล่า หรือพระเขียนไว้ แต่ก็เท่านั้น ถ้าเราไม่ได้ "สัมผัส"

ผมไม่ใช่คนที่เคร่งศาสนาแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ความไม่เห็นคุณค่าทางศาสนา เกิดจากคนเราไม่ได้ "สัมผัส" ศาสนาจริงจัง

การ "สัมผัส" ก็คือการ "ปฏิบัติ" ครับ ถ้าอยากเข้าใจในศาสนาพุทธ ต้องปฏิบัติ ปรัชาอย่างที่คุณพี่ปราบดา คิด เป็นเพียง "มิติ" หนึ่งของศาสนาเท่านั้น ถ้าอยากรู้ให้ "จริง" กว่าที่เป็น ต้อง "ปฏิบัติ" อย่างเดียวเท่านั้น

ถ้าอยากปฏิบัติ แบบเดินไปข้างหน้า โดยมีคนคอยดันข้างหลัง ให้เลือกเดินสาย เซน หรือ มหาญาน (สะกดถูกปล่าวหว่า) แต่ถ้าอยากทำแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป มีคนชี้ทาง ให้เลือกพุทธแบบไทยๆ คือหีนญาณ (สะกดถูกปล่าวหว่า)

เอาเป็นว่า ผมมี ศรัทธา ผมยังไม่ "สัมผัส" แต่ผมคิดว่า ศาสนาไม่ใช่แค่ วน loop หาไม่พบ เป็นเพียงปรัชญา แน่นอนครับ คนที่พูดได้แค่นี้ คือพวกที่มีอวิชชาในใจ ยังไม่ได้ "ปฏิบัติ" หรือ ชิมรสหวานจริงๆ แต่ วิจารณ์จากการฟังคนเล่า หรืออ่านจากตำรา

เพราะอะไรรู้ไหม

คนได้ชิมรสหวาน ยังไงก็อธิบายรสหวานไม่ได้ แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ คนที่เข้าใจศาสนา ก็ไม่สามารถทำให้อีกคนเข้าใจศาสนาได้หรอก ทำได้แค่ ... ทำให้อีกคน เข้ามาชิมรสหวานด้วยตัวเอง เข้าใจไหมนี่

อะไรหรือ

ศาสนา มีจริง ช่วยได้ แต่ต้องลงมือ เดี๋ยวนี้ .. เท่านั้นเอง (แต่โคตรยากกกกกกกกกกกส์)

Fairfield Gardens

ชื่อเรื่องวันนี้ คือชื่ออพาร์ตเมนต์ ที่ผมอาศัยตอนเรียนที่อเมริกา
เป็นอพาร์ตเมนต์ที่ผม search หาเอา ตอนเรียนภาษาที่ Texas
ก่อนจะย้ายมา Connecticut

จำได้ว่า ตอนมาถึงเมือง Bridgeport
ภาพที่เห็นคือคนดำ นิโกร เต็มไปหมด
เมืองน่ากลัวมาก แถมเรายังใหม่มากๆ ย้ายมาคนเดียว
เรียกว่าเหมือนท่องไปในแดนสนธยา
น้ำตาไหล หัวใจเต้นแรง
แต่ทุกอย่างก็ผ่านการพิสูจน์ตามเวลา

Fairfield Gardens ดูภายนอก ดูภายใน ดูใต้ดิน ดูโรงจอดรถ
ดูยังไง ก็ดูไม่ดี มันน่ากลัว มันดูไม่ค่อยปลอดภัย
แต่ทำไม.. ผมถึงอยู่ได้ตลอดโดยไม่ย้ายไปไหนเลย

เหตุผลง่ายๆคือ ผมมีความรู้สึกสบายใจ
ผมรู้สึกว่าผมไม่ต้องกังวล
ผมอยู่ชั้นหก แยกตัวจากคนอื่น
ห้องโล่ง กว้างสบาย มีที่ให้นอน
ถึงจะไม่ดูดี แต่มันสบายใจ

เวลาผ่านไปช้าๆ เชื่องๆ ผมกับ Fairfield Gardens เป็นเพื่อนกัน

เวลาคนที่เคยมาเจอหรือเคยมาอยู่ เคยมานอน เคยมาเที่ยวที่นี่
แล้วเวลากลับไปแล้ว วันหลังมาพูดถึงที่นี่แบบไม่ดี
บอกว่ามันน่ากลัว มันดูห่วย

ผมจะเงียบ และไม่ได้ต่อปากต่อคำ
แต่ในใจของผม ผมอยากจะบอกว่า
ที่นั่นคือที่อยู่อาศัยของผม มันคือ home ของผม ไม่ใช่แค่ house
ในชีวิตหนึ่งของผม ผมไม่ลืม
มันไม่ใช่แค่ที่ซุกหัวนอนกระจอกๆ ที่มีไว้ชั่วคราว
แต่มันคือที่ที่ผมรู้สึกผูกพัน ...ในระดับหนึ่ง
คือหลักไมล์หนึ่งในชีวิต ... ที่ผมไม่มีวันลืม จริงๆนะ

ตุลาคม 27, 2549

วงดนตรี..วงโดนๆ...ประวัติการตั้งวง และ..และ...

=W= ..

พูดถึงเพลง ผมนึกย้อนไปตอนเรียนปีหนึ่ง
วันหนึ่ง บิดสถานีวิทยุไปที่คลื่น ที่ดีเจสาวใหญ่
พูดคำว่า "เพราะที่สุดในโลก" ออกมาบ่อยๆ
ฟังแล้วหน้าหมั่นไส้ แต่ก็รู้สึกว่า มันมีพลังแปลกๆ

วงแมนิก สตรีท พรีสเช่อ, เรดิโอเฮด, เช็ด เซเว่น
และอีกมากมาย ถูกทะยอยเปิดแบบตามใจดีเจ
ผมฟังแล้วได้แต่ทึ่ง รู้สึกแปลกใหม่ ท้าทาย มีความหวัง?

ว่าไปแล้ว ตอนเด็กๆ ผมเรียกีตาร์คลาสสิก ตั้งแต่ม.1
ผมเรียนไป เพราะพ่อแม่ อยากให้เรียน
ใจก็รักบ้าง แต่ไม่มากมาย ไม่มีพลังขับดัน
ฟังเพลงไม่ได้อิน ไม่ได้มีความอยากเล่นให้เก่ง

วันหนึ่งผมได้ดูมิวสิควีดีโอ วง Guns 'n Roses
เพลง November Rain
เห็น Slash ยืนโซโล่กีตาร์บนเปียนโนแล้ว
โลกผมเปลี่ยนไป
ขอพ่อซื้อกีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกในชีวิต..แน่นอน ต้อง Ibanez RG Series
จากห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว กับแอมป์ที่มีเอฟเฟคพ่วง
แต่ Slash ก็ไม่ทำให้ผมแต่งเพลงเป็นเรื่องเป็นราว อยากตั้งวง

เพราะยุคแห่งดนตรีทันสมัย หรืออัลเตอร์เนทีฟ หรือ โมเดิร์นร็อค นั่นเอง
มันทำให้ผมกับสิงโต ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ต้น
เราสองคนสนใจดนตรีคนละแนว
สิงโตจะชอบดนตรีที่ซับซ้อน ฟังยากๆหน่อย
สิงโตตีกลอง ที่บ้านมีกลอง (เสียงไม่ดีมากมาย)
ผมเล่นกีตาร์(ไฟฟ้า)

เราตั้งวงกัน สิงโตลากกฤษณ์ เพื่อนที่เกษตร มาเล่นเบส
ส่วนผมทำหน้าที่เล่นกีตาร์ ร้องนำ

ความสุขที่สุดในการเล่นดนตรีคือ ได้รู้สึกถึงพลัง
มันยิ่งใหญ่มากเลย ตอนนั้น (ประมาณปีสอง ป.ตรี)

ผมคาดหวังถึงกับว่า อยากสร้าง Music Complex
อยากรวยๆ สร้างสถานที่ใหญ่ๆ เป็นที่สร้างงานใต้ดินของนักดนตรีสมัครเล่น
ที่มีทั้งเวทีให้เล่น มีห้องซ้อมให้ซ้อม มีห้องอัดให้อัด มีร้านขายให้ด้วย
แถมเล่นไม่เป็นแต่ใจรัก มีคนสอนอีกต่างหาก

ก็วาดฝันไปเรื่อย กับความฝันเกี่ยวกับโลกแห่งดนตรี ที่ตอนนั้นผมรักมันมากเหลือเกิน
รักจนมันกินเข้าไปในเลือดเนื้อ พ่อเห็นใจ เรียนจบป.ตรี
เจียดห้องให้ห้องหนึ่งที่ออฟฟิซ ทำเป็นห้องซ้อมเก็บเสียง เอาอุปกรณ์ไปวาง
ผมก็ได้ทำฝัน ทำเพลงกับวงผม
บางคืน ทำกันตั้งแต่สามทุ่ม จนตีห้า เพียงอัด.. เสียงกลอง (แต่ก็ยังไม่ดี)

ผมจำได้ตอนทำเพลงในห้องซ้อมนั้น เราทำกันเหนื่อย เราทำกันอย่างบ้าๆบอๆ
จนเบื่อดนตรีไปเลย
แบบทำเองอัดเองมิกซ์เอง นั่งฟัง นั่งปรับ มันสนุก แต่มากๆๆๆๆ เข้า
การฟังเพลงมันก็เลย drop จากที่ชอบ กลายเป็นมองมันในอีกแบบ

บางที... ผมคิดว่า การที่เรารักอะไร
แล้วทุ่มลงไป มากๆๆๆๆ จนเกินไป..
ย่อมกลายเป็นเสีย มากกว่าดี... อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนพวกเราเสมอ

ไม่ควรตึงไป หรือหย่อนจนเกินไป ควรเดินทางสายกลาง

ตุลาคม 25, 2549

น้องเฟย์


ในที่สุด ผมก็ได้ชื่อว่าเป็นคุณพ่อแล้ว หลังจากแต่งงานมาสองปี (แต่งเมื่อ
13 สค 47 -- มีลูก 20 ตค 49)

ลูกสาวคนแรกของคุณปู่คุณย่า และคุณยาย ชื่อน้องเฟย์ (แปลว่าเทพธิดาตัวน้อย)
เกิดเวลา 7:27 AM ครับ โรงพยาบาล กรุงเทพคริสเตียน
ห้องพัก 301 อยู่โรงพยาบาลระหว่าง 20 - 24 ตค
สุขภาพของคุณแม่ และเด็ก ดีทั้งคู่ครับ ลูกสาวน่ารัก
คิ้วเข้ม (บางคนบอกเหมือนผม บางคนบอกเหมือนแม่เค้า)
ตั้งชื่อจริงให้แล้ว ว่า "นิชาภา" แปลว่า ผู้มีแสงสว่างแห่งตนรุ่งเรืองนาม
การตั้งชื่อใช้หลักการที่เกี่ยวกับโหราศาสตร์ด้วย ไม่ได้ตั้งมั่วนะเนี่ย

การเกิดใช้วิธีผ่าตัด เพราะเด็กหัวไม่ลง ทำให้ไม่สามารถคลอดธรรมชาติได้
และก็อยู่ในครรภ์นาน 39 สัปดาห์แล้ว เห็นควรแก่เวลา
การเกิดแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า คนเราเลือกวันเวลาเกิดได้ในตอนนี้
ไม่เหมือนในอดีต ที่ไม่มีการผ่าตัด

ใครคนหนึ่งเคยบอกว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้
อันนี้ไม่จริงครับ ตอนนี้ทัศนะคติผมเปลี่ยนไป
เราเลือก"วัน/เวลา" เกิดได้แล้วนะ ^_^

ตุลาคม 18, 2549

มนุษย์...จักร

หลายคนคงสงสัยกับเรื่องราวการสร้างหุ่นยนต์
ว่ามันจะเป็นจริงแค่ไหน ยากลำบากมาก การทำให้เครื่องจักรมีชีวิต
แต่ในทางกลับกัน ทุกวันนี้ คนเรากำลังเป็นหุ่นยนต์กันครับ

มนุษย์ถูกโปรแกรม กลับเป็นเครื่องจักร
ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ทุกอย่างมีโลจิกซ่อนเร้นอยู่
คุณดูทีวี กดเงินเอทีเอ็ม ทำคอมพิวเตอร์ ขับรถ
อะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกลทั้งหลาย
พลังมนุษย์ถูกดูซับความเป็นจักรกลเข้าสู่ร่าง
เหมือนวงจรจักรกลที่ขับเคลื่อนกลับเข้าสู่สายเลือดเรา

การคิดอ่านของคน ถูกครอบงำด้วยจักรกล
เรากำลังกลายเป็นหุ่นยนต์
ไม่จำเป็นเลยที่จะสร้างหุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์
เพราะมนุษย์นั่นแหล่ะ กำลังเข้าใกล้ความเป็นเครื่องจักรเข้าไปทุกที
เฮ้อ....

ตุลาคม 17, 2549

Self Service

สมัยยังเรียนโทอยู่อเมริกา ภาพที่จำติดตาเสมอเวลาไปเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันทั่วๆไป คือการบริการตัวเอง ที่อเมริกา ค่าครองชีพสูงมาก ฝรั่งถ้าถูกจ้างให้ทำงานที่ใช้แรงงาน แน่นอนค่าแรงต้องสูงมาก ดังนั้น การเติมน้ำมันด้วยตัวเองจึงเป็นการลดต้นทุนการจ้างพนักงานบริการเติมน้ำมัน (เรียกง่ายๆว่าเด็กปั๊ม)

ผมยอมรับหน้าตาเฉยว่าตัวเองเคยเป็นเด็กปั๊มมาก่อนครับ แต่งานเด็กปั๊มที่อเมริกาที่ปั๊มผม เรียกว่าแอทเทนแดนซ์ ก็คือคนเติมน้ำมันนี่เอง ปั๊มแบบที่มีคนคอยเติมน้ำมันให้นั้น มีไม่มากนักในรัฐของผม(คอนเน็คติคัต) แต่ถ้าไปรัฐอื่น คุณอาจจะเห็นพวกแขกโพกผ้ายืนเต็มปั๊ม คอยเติมน้ำมันให้คุณอย่างเต็มพิกัด เพราะพวกเขาคาดหวังทิปที่คุณจะให้เวลาเติมน้ำมันเสร็จ

ทิปเป็นเหมือนค่าใช้จ่ายแน่นอนของวัฒนธรรมอเมริกัน ถ้าคุณไม่ให้ทิป แสดงว่าคุณไม่ใช่อเมริกันแท้ หลักการให้ทิปนั้นคิดซื่อๆ คือถ้าคุณซื้อของไป 100 บาท ก็ให้ทิปเขาไปสิบ ถึงสิบห้าบาท (10-15%) นั่นหมายถึงการป็นบ๋อยนะครับ แต่ถ้าเป็นเด็กเติมน้ำมัน ราคาอาจไม่ดีขนาดนี้ ยกเว้นกรณีพิเศษ

กรณีพิเศษที่สุดที่ผมเคยเจอ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวัน Thanks Giving กลางดึกคืนนั้นเอง มีรถแวะมาเติมที่ปั๊ม ผมก็ออกไปทำหน้าที่ตามระเบียบ ไม่ได้บริการถึงใจ ตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง เช็ดกระจก อะไรเลย แต่หลังจากเติมน้ำมันเสร็จ กำลังจะไปเก็บเงิน ก็ได้รับเงินทิปมาด้วย 20 เหรียญ เยอะนะ ถ้าถามคนที่ทำงานปั๊มแบบผมด้วยกัน ว่ามีคนให้ทิปแบบจงใจถึง 20 เหรียญเนี่ย น่าจะอ้าปากร้องโอ..โหหห ได้เลย

แต่สิงโต เพื่อนผมที่กลับมาหลังผม เขาเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ที่ปั๊มเล็กๆริมถนนมีตู้เอทีเอ็มมาเปิดใหม่ ทุกวัน ตอนช่วงที่คนน้อยๆ เพื่อนผมมันจะไปยืนดูตรงตู้ เพราะอะไร มันบอกว่า บางทีการกดเงินนั้น ทำอย่างรีบเร่ง เงินบางทีลูกค้าดึงไปไม่หมด หรือไม่ก็มีที่แบงค์ติดออกมาแพรมๆ ด้วย ว่ากันว่า รายได้ดีเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว (อันนี้เสริมเอง) แต่ก็นะ ผมเคยเก็บเงินที่ลูกค้าทำตกบนพื้นในร้านค้าเล็กๆของปั๊ม เป็นเงิน 50 เหรียญ

ตอนนี้สิงโตกลับมาจากอเมริกาแล้ว เราสองคนคงมีเรื่องคุยกันในแง่มุมต่างๆเกี่ยวกับชีวิตสู้ๆ ในประเทศอเมริกากันอีกนานแสนนาน... เพราะมันคือ ดินแดนแห่ง Self Service ที่มีทิปให้ กรณีไม่ยอม Self Service ว่ะ สราดดดด

ความเปลี่ยนแปลงเลย


มีแสงที่ส่องออกมาจากช่องเล็กๆ ภายในห้องปิดทึบ ไร้เสียง ถ้าเงี่ยหูฟังดีๆ คุณจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง ขณะที่คุณกำลังหายใจดีอยู่ ภาพในสมองของเธอกำลังดับลง สิ่งที่กำลังใกล้มาถึงในสมองของเธอ กับลมหายใจของคุณ กำลังแสดงตัวออกมาให้เห็นดุจแสงสว่างที่ส่องออกมานั้น

ผมก้าวขาออกจากห้องที่ตัวเองเคยอยู่ เคยนั่งจ้องกำแพงเฉยๆ เคยเอาหัวโขกผนังห้องจนเลือดไหล

เพียงต้องการให้ใครบางคนบนโลกนี้ ขณะที่เธอกำลังหายใจดีอยู่ ภาพในสองของเธอกำลังดับลง สิ่งที่กำลังจากไปจากสมองของเธอ กับลมหายใจของคุณ กำลังซ่อนตัวในช่องแคบเล็กที่แสงส่องออกมาได้เพียงรางๆ

และทุกอย่างดับลง

ตุลาคม 16, 2549

เดซิเบล เรสทัวรอง

เมื่อวานขับไปแถวลาดพร้าว เห็นป้ายเด่นสง่าสีแดงสด เหมือนป้ายโรงหนังเก่า ที่เราๆท่านๆ อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป น่าจะเคยเข้าไปดูกัน ป้ายนั้นเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า

Decibel Restaurant

ตุลาคม 14, 2549

เครื่องคอมพ์พัง

คอมพ์พังครับ
เปิดมัน 24 ชั่วโมงมาประมาณสองอาทิตย์เพื่อโหลดหนัง
วันนี้มันอ่านไดรฟ C ไม่ได้แล้ว เหมือนข้อมูลหายไปเลย
วินโดวส์ซึ่งอยู่ในไดรฟ C ก็เลยไม่โหลด

ตอนนี้เพิ่งแกะฮาร์ดดิสออกมาทำเป็น external เพื่อซ่อม
ถ้าซ่อมไม่ได้เนี่ย ... สราดดดดดดดดดดดดดดดด

ข้อมูลสำคัญมีเต็มเลยอะครับ T_T

ตุลาคม 13, 2549

เพลงผมได้ลง typhoon cafe 2 ..!!!


ข่าวดี ผมส่งเพลงไป typhoon cafe 2 ครับ ...
เพลง หน้าไม่อาย (not so shy)
ที่ผมทำไว้ตอนเรียนเมกา (ประมาณปี 2002)
เมื่อวาน ได้รับเลือกลงด้วย!

ขอบคุณทางไต้ฝุ่นที่พิจารณารับไปครับ
ได้ลงคู่กับงาน lo-fi acoustic ของ tokyo tower นะ

สนใจดูหน้าเวบ >> http://www.typhoonbooks.com/typhooncafe/sounds.html

สนใจฟังเพลงนี้เลยที่นี่ กดปุ่ม play เลยครับ



ตุลาคม 12, 2549

เสียความรู้สึก

มีคนว่าไว้ การที่เราชอบผลงานใครบางคน เราควรหยุดไว้เพียงเท่านั้น
การที่เราเริ่มไปรู้จักคนๆนั้น จะเป็นเหตุแห่งความฉิบหายได้
เพราะตัวตนกับผลงาน ย่อมแตกต่างกัน นั่นเป็นส่วนหนึ่งของโลก

ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นคนดูไม่มีอีโก้ แต่จริงๆ ผมมีอีโก้สูงกว่าคนที่ชอบคิดว่าตัวเองมีอีโก้
พวกบ้าพลัง บอกคนทั้งโลกว่ากูถูก มึงผิด กูเจ๋ง ไอเดียคนอื่นห่วย
คนพวกนี้ ดูเหมือนจะมั่นคง แต่จริงๆแล้วพวกนี้มักเป็นพวกอ่อนแอ
ปกป้องตัวเองแบบออกนอกหน้า ตรงข้ามกับผม
เวลาคนที่ถามผมมักบอกว่าผมทำเพลง เพลงผมห่วย ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเจ๋ง
คนที่ชอบผลงานผมจริงๆ เคยชมผมต่อหน้า ตอนนั้นผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ผมไม่สามารถยอมรับความชื่นชมได้ เพราะผมชอบคิดว่าตัวเองห่วย

แต่ถ้ามองกลับกัน การคิดว่าตัวเองห่วยเนี่ย แสดงว่าเป็นคนอีโก้จัด
ที่คอยกันตัวเองจากปัญหาต่างๆเหมือนกัน

ส่วนตัวแล้ว ผมแทบไม่เคยพูดกู มึงกับใครเลย นอกจากไอ้หยอย
ไอ้หยอยเป็นเพื่อนตั้งแต่เรียนเตรียมอุดม มันเป็นคนที่ไม่ค่อยคบหากับใครมาก
แต่มันกลับเห็นผมเป็นเพื่อน ตอนเรียนวิศวะจุฬา ไอ้หยอยจะสนิทกับผมและภาณุ
สามคนไปเรียนไหนเรียนกันเสมอๆ
แต่กับภาณุ ผมจะไม่พูดกูมึง เลย ปกติ สรรพนาม ที่ผมเรียกตัวเองจะเป็นเรา
ผู้ชายเรียกนาย ผู้หญิงเรียกเธอ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้
ผมไม่สามารถแสดงความสนิทสนมกับใครด้วยการพูดกูมึง ได้นัก (นอกจากไอ้หยอย)

เมื่อสิ่งที่ตัวเองระวังที่สุดมาถึง และสิ่งที่ต้องอึดอัดเข้ามา ตามทฤษฎี ผมจึงขอเลิกกิจกรรมทั้งหมด
ต่อไปจะระวังตัวให้มากกว่านี้ การคบหาศิลปิน หรือพวกสร้างงาน
สิ่งจำเป็นและพึงระวังคือ นิสัยของคนพวกนั้น
ตัวผมเองยอมรับไม่เต็มปากว่าตัวเองเป็นศิลปินแขนงหนึ่ง (เป็นแบบห่วยๆ)
ผมไม่ชอบให้คนมาชื่นชม ผมชอบให้คนเอางานผมไปแตกยอด
เหมือนการทำเพลง ผมรัก weezer มาก ผมไม่เคยฟังเพลงแล้วอิน
น้ำตาไหลพราก เท่าไหร่นัก แต่เพลงอย่าง ไมเกิ้ล แอนด คาลี่ ของ weezer
เปิดตอนที่ได้ข่าวการเสียชีวิตของทั้งคู่ที่ weezer ร้องถึง
ทำให้ผมร้องไห้แหลกลาญขณะขับรถไปทำงานเมื่อหลายปีก่อน
ผมจำได้ว่า ไม่ต่ำกว่า 1000 รอบในการฟังเพลงของ weezer ชุดแรก
และพวกเขาคืออิทธิพลที่สำคัญที่สุดของผมในการทำเพลง

ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำอะไรเพื่อเป็นการอุทิศตัวให้กับพวกศิลปินอีกแล้ว
ถ้าผมชอบใคร ขอผมชอบอย่างเงียบๆดีกว่า คนพวกนี้น่ากลัวในความรู้สึกผม
พวกเขามีอีโก้ (ที่ผมรังเกียจ) พวกเขามักไม่เข้าใจคนอื่นนอกจากตัวเอง (ที่ผมไม่ต้องการ)

ต่อไปนี้ ผมจะพยายามสร้างงานเพื่อเป็นการต่อยอดให้กับคนรุ่นหลัง
หรือทำให้คนรุ่นหลังบางคนร้องไห้ เหมือนที่ผมเคยเป็นตอนฟังเพลง weezer

อย่างที่เคยเป็น...

ว่ากันว่า ... แน่นอนว่า

แน่นอนว่า ... ผมไม่ค่อยมีเวลาให้กับการอ่านหนังสือ
ว่ากันว่า ... ผมขี้เกลียดอ่านหนังสือ
แน่นอนว่า ... ผมชอบดาวโหลดหนัง
ว่ากันว่า ... คุณ 'ปราย เคยคอมเมนต์ "เอาเวลาที่ไหนดู"
แน่นอนว่า ... ผมดูหนังไม่หมดทุกเรื่องที่ดาวโหลด
ว่ากันว่า ... ผมดูแดจังกึม กับ Lost ซีซันแรกจบ
แน่นอนว่า ... แดจังกึมผมดูละเอียด ดูแทบทั้งหมด แต่ Lost ดูมั่งไม่ดูมั่ง
ว่ากันว่า ... Lost Season แรก ยังไม่จบนี่หว่า
แน่นอนว่า ... ตอนนี้แม่งออก Season 3 แล้ว
ว่ากันว่า ... ผมอ่านงานที่พี่สิบเดส่งมายังไม่จบ
แน่นอนว่า ... เพิ่งอ่านไปได้แค่สองบท
ว่ากันว่า ... ผมขี้เกลียดอ่านหนังสือ
แน่นอนว่า ........ คำว่า "ว่ากันว่า" กับ "แน่นอนว่า" คือ Signature ของพี่สิบเด

ผมรู้สึกว่าพี่สิบเด ใช้สองคำนี้บ่อยๆ จนมันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
และบางทีมันเยอะไปหน่อยอะครับ ถ้าพี่เปลี่ยนคำพวกนี้เป็นคำพวก
"เป็นไปได้ว่า" "อาจจะจริงดังว่า" "ว่าก็ว่ากันว่า" "บ้างทีผมเดาๆเอาว่า"
"อยากจะว่ากูอะไรก็ว่า" "นะจังงังว่า" ... แห่ะๆ


ปล. แซวเล่นนะครับ ขอให้หายป่วยเร็วๆ โซกลี ครับ

ตุลาคม 11, 2549

The Interpretation of Dreams by Sigmund Freud


สำหรับคนที่สนใจการวิเคาะห์ความฝัน หนังสือเล่มนี้ ถือเป็นหนังสือที่สำคัญที่สุด ผมซื้อหนังสือเล่มนี้จากร้านหนังสืออเมริกา บาร์นส์ แอนด์ โนเบล ที่เมืองออเรนจ์ ใกล้เมืองบริจพอร์ต ที่ผมอยู่ ตอนนี้ผ่านมาสามปีแล้ว เห็นจะได้ ผมไม่เคยแตะหนังสือเล่มนี้เลย (จริงๆเรียกได้ว่านับตั้งแต่วันที่ซื้อมาก็นอนคุดคู้อยู่อย่างเดิม) ใช่.. ผมเป็นคนขี้เกลียดอ่านหนังสืออย่างมาก

เมื่อวาน ตอนกลับมาบ้าน เข้าไปห้องเก็บหนังสือ เหลือบไปเห็น ไม่รู้จะอ่านอะไรดี เลยหยิบมาพลิกดู ...แล้วอ่านเป็นครั้งแรก .... หนังสือเล่มนี้ ถูกผมซื้อมาด้วยราคาประมาณ 8 เหรียญ ด้วยเหตุสองอย่าง คือ ผมรู้จักฟรอยด์ และอยากรู้เกี่ยวกับความฝัน ตอนนี้ผมเลยได้รู้ว่า หนังสือเล่มนี้ น่าสนใจมาก

เพิ่งอ่านคำนำจบ ยังไม่ได้อ่านเนื้อหาเลย แต่จากที่อ่านคำนำ รู้สึกว่าฟรอยด์ จะเขียนโดยใช้ประสบการณ์ในการรักษาคนไข้ เอาความฝันของคนไข้มาวิเคราะห์ รวมไปถึงความฝันของตัวเองด้วย จึงน่าสนใจมากๆ มีคนที่ให้ความสำคัญกับความฝัน ขนาดคิดเป็นทฤษฎี ถึงเพียงนี้ เราคงสามารถพูดได้อย่างชื่อเพลงของศิลปินใต้ดิน เพื่อนของทีมเบเกอรี่ อย่างคุณ Norsez ที่ว่า

“Life is just a Dream”

ปล. สำหรับคนที่สนใจ มีให้อ่านฟรีที่ลิงค์นี้ครับ

http://www.psywww.com/books/interp/toc.htm

ตุลาคม 10, 2549

เสียงและน้ำตา

สิ้นเสียงรถไฟฟ้าใต้ดินขบวนใหม่จอด... ประตูเปิดออก
ผมสะพายเป้ใบใหญ่ ไร้เครื่องโน้ตบุ้ค เข้าสู่ประตูรถ
ข้างในมีผู้คนเก้งก้าง อึดอัด แน่นขบวน
ทำนบกันน้ำตาแตก ใช่... ผมเห็น
ผู้หญิงหน้าตาสวยคนหนึ่งกำลังร้องไห้
เธอก้มหน้าแต่ยังไม่วายหลุกหลิกจนผมสังเกต
อีกมือของเธอกำโทรศัพท์มือถือเล็กสั้นประชิดหูขวา
...ใช่ เธอคุยไป ร้องไห้ไป

ผมหลับตา เอียงหูเข้าใกล้ สอดส่ายรูหูรับรู้เรื่องชาวบ้าน (เสือก)
“ทำไมต้นทำกับนิอย่างนี้.. ต้นจะทิ้งนิได้ยังไง ..เรามีอะไรกันแล้วนะ”

ผมจับประเด็นหลักได้แล้ว ..ที่เหลือไม่ต้อง
พยายาม...รั้งสายตาจับจ้องดวงตาก้มต่ำของเธอไว้อย่างนั้น
เพียงเพื่อ... อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของดวงตา น้ำตา...เสียง
พยายาม...ไม่ให้ผิดสังเกต กลัวเธอจับได้ว่ามอง
เพียงเพื่อ... จะได้ดูเธออย่างนั้น ต่อไปเรื่อยๆ
…..
เสียงประกาศสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินปลายทางสิ้นสุด
ประตูบานตรงข้ามกับที่ผมก้าวเข้ามาในรถเปิดอ้า
ในใจเสียดาย เธอยังอยู่ที่เดิม
จำใจออกจากตัวรถ และก้าวขึ้นสู่พื้นผิวกรุงเทพอีกครั้ง

ว่าด้วย "ฝัน"

........................................................

ผมกำลังจะไปนอน
แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อ blog
ผมจึงจับคีย์บอร์ด และกดๆๆ
มันมีความในใจคั่งคามากมาย
......
ความฝันยามที่เราตื่น
กับการตื่นในความฝัน
สองสิ่ง มีนัยยะต่างกัน
......
อย่างแรก ความฝันยามที่เราตื่น
ทำในสิ่งที่คิดว่าอยาก
อยาก.. บ่อเกิดเสียงเพลง
อยาก.. อย่างไรให้มันดี
ต้องอยากแล้วไม่จากไป
คืออยากแล้วลงมือทำ
....
อย่างที่สอง
ตื่นในความฝัน
จดบันทึกสิ่งที่เกิดในฝัน
แล้วเอามาเปิดเผยให้โลกรู้
....

ตอนอยู่อเมริกา
สั่งอาหารจีนร้านริมถนน สกปรก
ปริมาณเยอะ รสชาติอย่าไปแคร์
ระหว่างรอ เปิดเครื่อง eBookman
เป็นเครื่อง PDA ของ Franklin
ยี่ห้อดิก
ผมอ่าน
มันมีข่าวเกี่ยวกับนักเขียนฝรั่งผิวดำ
เธอฝันซ้ำกันทุกคืนติดกัน
จนแต่งเป็นหนังสือ...
..ประทับใจมาก

อยากทำมั่ง

เอาฝันตัวเป็นๆ มาเป็นหนังสือ
ไม่ยากนะครับ
แต่ก็ไม่ง่ายนะครับ

คุณจำฝันของคุณได้หรือเปล่า
ตื่นมา งงๆ กับตอนเช้า
แล้วก็ลืม ทุกคนแหล่ะ

ทำไงดี...คิดๆ

ไม่รู้ แต่ผมจะพยายามครับ :)

ตุลาคม 08, 2549

ดู The Virgin Suicides แล้วนึกถึงตัวเองตอนรุ่นๆอะ


ผมเพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้ผ่านดีวีดี เดอะเวอร์จิ้น ซุยอะซาย ความตายของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ งานของผู้กำกับหญิง โซเฟีย แห่ง Lost in Translation

บรรยายกาศของหนังยังอบอวลหลอนๆ ไม่แพ้ Lost เลย ภาพที่ใช้ เพลงประกอบต่างๆ ช่างบ่งบอกรสนิยมของผู้กำกับหญิงคนนี้ ว่าฟังเพลงแนวไหน และที่แปลกคือ ผมรู้จักหลายเพลงเหมือนกัน (บางเพลงคุ้นมากๆ แต่จำไม่ได้ว่าของวงอะไร)

รู้สึกการได้ดูงานของเธอ เหมือนได้พบเพื่อนเก่า สมัยที่ผมยังจมปรักกับอนาคตของวงการดนตรีแนวทางเลือก สมัยที่อายุช่วงยี่สิบต้นๆ จำได้ว่า ไม่มีวันไหนที่ไม่ฟังเพลง วงที่ฟัง มีทั้งรู้จักจากรายการวิทยุของป้าแต๋ว วาสนา จากการอ่านหนังสือ GT (Generation Terrorists) หรือมั่วนิ่มไปแผงเทป แล้วเห็นปกเจ๋งๆ ก็ซื้อเลย คิดว่าเสียเงินเสียทองกับเทป ซีดี ไปเหยียบแสนเลย (รวมทั้งหมดนะ)

ร้านซีดี ที่โปรดปราน ช่วงเนอวาน่า ครองโลก คือ ทาวเวอร์เร็คคอร์ด เคยฝันบ้าๆบอๆ ว่าจะไปทำงานที่นั่นด้วย แต่ตอนนั้น ยังเรียนไม่จบ เป็นลูกแหง่ ติดพ่อแม่ ไม่กล้าไปสมัครงานหรอก แต่รู้จักเพื่อน จำไม่ได้แล้วว่ารู้จักกันยังไง แต่ไปๆมาๆ รู้ว่าเขาเคยทำงานทาวเวอร์เร็คคอร์ด แล้วก็ยังได้ไปเจอกันตอน แอช (ASH) มาเปิดคอนเสริต ที่แดนซ์ ฟีเวอร์ (จำไม่ได้ว่าปีไหน แต่นานแล้ว)

ผมรู้สึกว่า ตัวเองช่างโชคดีเสียนี่กระไร ที่ได้ผ่านพบประสบการณ์ ดนตรีครองโลก (สั้นๆ) มาได้ เพราะทุกวันนี้ หันไปทางไหนก็ i-pod, iriver, และอื่นๆ บานยี่ห้อ ก็เครื่องเล่น mp3 ไงครับ โทรศัพท์เอย คอมพิวเตอร์เอย รองรับ mp3 หมดแล้ว ที่สำคัญ หาโหลดเพลง ง่ายกว่าปลอกกล้วยซะอีก แบบนี้ คนที่เคยมีวัฒนะธรรมบูชา ซีดี ความสวยของปกซีดี การรอคอย ซิงเกิ้ลต่อไปจาก Super Sonic ของวง oasis ก็คงจะไม่มีวันได้สัมผัสอีกแล้ว แต่ผมเคย.. จริงๆนะ

สุดยอดมากๆๆๆๆๆๆๆ

บันทึกสิ่งที่ฝันเมื่อคืน ฝันร้ายทำให้ไม่ง่วง

ตอนนี้ ผมตื่นอยู่ครับ แต่ก่อนหน้านี้ประมาณครึ่งชั่วโมง...ผมยังนอน
ที่อยากบันทึกความฝันของคืนนี้ เพราะว่า มันเป็นฝันที่เฉพาะตัวมากๆ
ไม่รู้ผูกสัมพันธ์กับความทรงจำอะไรหรือเปล่า
คือผมเนี่ย มีเพื่อนที่ทำงาน ที่ผมสนิทอยู่ เป็นผู้หญิง
ช่วงหลังเราอาจไม่ค่อยสนิทกันเหมือนเดิม เพราะมีปัญหางี่เง่าเกิดขึ้น
ทำให้การคุยกันมันต้องมีลิมิต มันไม่จริงใจแบบเก่า

เธอกับผม มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือเราทั้งคู่มีสัญญากับบริษัท
เพราะถูกส่งไปอบรมต่างประเทศ ...เธอต้องทำงาน สามปี
ส่วนผมทำงานสองปี (ระยะเวลาไปอบรมไม่เท่ากัน)

เมื่อคืน ความฝันของผม ... ผมได้ทราบจากคนอื่น
ว่าเธอกำลังจะได้งานใหม่ เพราะมีคนยอมจ่ายเงินชดเชย

.... ผมไม่รู้เรื่องเลย ...

ผมวิ่งไปทั่ว มันเป็นเหมือนเกาะ เราทำงานกับหมู่ชนจำนวนมาก
ผมต้องการไปถามว่าเรื่องนี้จริงแค่ไหน
แต่ด้วยความที่ไม่สนิทกันเหมือนเก่า ผมจึงได้รู้เรื่องนี้จากการแอบได้ยิน
ไม่ได้รู้เรื่องนี้จากปากของเธอ... ผมรู้สึกเจ็บ ..ผมเลยวิ่ง
ผมวิ่งไปทั่วเพื่อตามหาเธอ จะคุยเรื่องนี้ สุดท้าย ผมหาเธอไม่เจอ
ภาพในฝัน มีเหตุการบางอย่างที่เกิดจริงเข้ามาใส่
การทำงานนอกสถานที่ การเจอเพื่อนคนอื่นๆโดยบังเอิญ
ในที่สุดผมหาเธอไม่เจอ แต่ผมเจอคนอื่นๆ ทั้งเพื่อนเก่าๆ และเพื่อนร่วมงาน
ผมบอกกับเพื่อนพวกนั้นว่า ผมไม่แน่ใจว่าควรทำงานที่นี่ต่อไป
หรือหางานใหม่ดี...

และผมก็ตื่น....

ความรู้สึกของการสูญเสียเพื่อน ละมั้ง ที่ทำให้ฝันนี้เป็นฝันร้าย
ผมตื่น ทั้งที่นอนตอนตีสี่ ตื่นแล้วไม่ง่วง
ผิดกับเมื่อวันเสาร์ คืนวันศุกร์ นอนตีหนึ่ง ตื่นสิบโมงครึ่ง
แถมยังง่วงทั้งวันอีก

การที่เรายังมีอะไรไม่สบายใจในความสัมพันธ์
บางทีมันก็เป็นเหมือนความไม่สบายใจไปตลอด
ถ้าหากตัดรากถอนโคนความทุกข์ หันหน้าเข้าหากัน
แล้วปรับความคิดความเข้าใจจริงๆจังๆ
บางทีความเป็นเพื่อนก็สามารถกลับคืนมาได้นะ..ผมว่า

คำสอนของพี่ยุ้ย

สมัยผมเรียนป.โทอยู่อเมริกาเมื่อสี่ปีก่อน
มีงานพิเศษหาเงินจ่ายค่าเช่าอพาร์ตเมนต์
งานที่ว่า .. ทำปั๊มน้ำมันโมบิล
หน้าที่หลัก ... แคชเชียร์ กับแอทเทนแดนซ์
งานแคชเชียร์ ก็รู้ๆอยู่ เก็บเงิน ร้านขายของเล็กๆ
ได้พบปะผู้คนมากมาย ทั้งฝรั่ง ทั้งนิโกร ทั้งเอเชีย
หลากหลายมากๆ ... การทำงาน ทำเป็นกะ
กะนึง แปดชั่วโมง ร้านที่ปั๊ม เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง
กะจึงมีหลายกะ เนื่องจากตอนกลางวัน
ผมต้องไปเรียน กะส่วนมาก จึงเป็นกะกลางคืน
เวลาที่ทำ เก้าโมง (สามทุ่ม) ถึงหกโมงเช้า
ปัญหาที่เจอประจำคือ ง่วงมาก

พี่ยุ้ยเป็นคนไทยที่กำลังจะกลับเมืองไทยตอนผมเพิ่งไปถึง
เธอแนะนำให้ผมได้งานทำที่ปั๊มน้ำมันโมบิล
หารายได้จุนเจือตัวเองให้ประหยัดเงิน

พี่ยุ้ยแนะนำผมว่า ให้ผมนอนนิดนึง ซักสิบห้านาที
ก่อนไปทำงาน เพราะถึงมันจะน้อย แต่มันจะช่วย
ว่ากันว่า การนอนน้อยๆ ทำให้สดชื่น จริงหรือไม่
ผมไม่แน่ใจ แต่ผมจำได้ดี มันได้ผล
มันทำให้ผมรู้สึกดี เวลาไปทำงาน แม้จะง่วงมากก่อนนั้น
ผมก็เลยได้รับคำสอนจากพี่ยุ้ยว่า

Take A Nap!

ตุลาคม 07, 2549

DEATH NOTE

วันนี้ไปดูหนังเรื่อง DEATH NOTE มาครับ
เคยอ่านการ์ตูนไปนิดหน่อย ไม่ได้ตามอ่าน
แต่ชอบไอเดีย ของคนแต่ง มันช่างสร้างสรรค์เสียเหลือเกิน
วันนี้เลยตัดสินใจไปดู ...

หนังเล่าเรื่องของตัวละครหลัก 2 ตัว
คือ ไลท์ กับ แอล
ไลท์ คือคนเก็บสมุดบันทึกของยมทูต
ซึ่งมีคุณสมบัติ พิเศษคือ เขียนไรลงไปแล้ว
คนคนนั้นจะตาย

หนังทำออกมาสนุกดีครับ ไม่เบื่อเลย
อยากดูภาคสองซะแล้ว ลุ้นว่าจะจบไง
ไม่อ่านการ์ตูนละ ดูหนังเลยดีก่า
เพราะคิดว่า คงแต่งไม่เหมือนกันอะ

ตุลาคม 05, 2549

Mysterious Skin


มนุษย์ต่างดาวลักพาตัว ไบรอัน ไปตอนอายุ 8 ขวบ แม่ติดงาน พ่อไม่รู้ไปไหน แต่ไม่มารับเขากลับบ้าน หลังจากที่เล่นเบสบอลกับทีมเด็ก ๆ วัยเดียวกัน เสร็จ เขาจำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่ภาพเลือนลางเหมือนฝันร้ายที่เฝ้าหลอกหลอนเขาตลอดมา คือเลือดกำดาวที่ไหลออกจากจมูก หลังจากที่มนุษย์ต่างดาว พาเขากลับมาส่งแล้ว ระหว่างนั้น ไม่มีอะไรเลยในหัว มันคือความทรงจำน่าหวาดกลัว และทำให้เขาสนใจแต่เรื่องมนุษย์ต่างดาวแบบจริงจัง ถึงขนาดดูทีวี ที่มีรายการเกี่ยวกับสาวที่อ้างว่าเคยถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว แล้วไปหาสาวผู้นั้นจริงๆ จนกลายเป็นเพื่อนกันไปในที่สุด

นีล ในวัยเด็ก อยู่กับแม่ลำพัง แม่มักพาผู้ชายมามีเซ็กกันให้นีลเห็น แต่ภาพที่นีลชอบ คือใบหน้าแห่งความสุขของผู้ชาย เวลาโอษฐ์กาม ... ใบหน้าแห่งความพึงพอใจ ใช่ ... เขาชอบเพศเดียวกัน เมื่ออายุ 8 ขวบ เขาเล่นเบสบอลในทีมเด็กๆ แม่มาฝากเขาไว้กับโค้ช หนวดงาม ผู้ซึ่งชักนำให้เขารู้จักการมีเซ็กครั้งแรกกับ... ผู้ชายด้วยกัน และมันคือความรักครั้งแรก กับชายวัยพ่อ... เขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม หน้าตาดี แต่ขายตัว (เกย์) ...

เวนดี้ เป็นเด็กสาวที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของนีล เขาสารภาพว่า เคยหลงรักนีล แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะนีลไม่ชอบผู้หญิง และเธอเองก็รู้เรื่องต่างๆที่นีลไม่เคยบอกใคร แม้แต่ตอนที่นีลไปขายตัวกับหนุ่มแก่ ที่ทำเอาจู๋เขาเกือบขาด เพราะกัดด้วย นีลเปิดจู๋ให้กับเวนดี้ ให้เวนดี้ดูจู๋ตัวเอง ...

เรื่องจะเป็นอย่างไร ต้องดูเองครับ หนังเรื่องนี้ดีมาก ผมดูแล้วชอบจริงๆ ไม่คิดว่าจะชอบหนังเกย์ได้ ปกติไม่ค่อยชอบดูหนังเกย์เท่าไร แต่เรื่องนี้ เห็นคนพูดถึงมานานแล้ว เลยซื้อดีวีดีแมงป่องลดราคา มาเก็บไว้เมื่อหลายเดือนก่อน เมื่อสองวันที่แล้ว เพิ่งได้แกะห่อมาดู ... โอ...

สั้นๆ ง่ายๆ ความประทับใจ ...

"ทำไมกูไม่มีเพื่อนที่เป็นผู้หญิงที่สามารถเล่าเรื่องทุกเรื่องได้ แม้กระทั่งแก้ผ้าให้ดูจู๋ แถมคบกันมาตั้งแต่ตอนแปดขวบแบบ เวนดี้กับนีล มั่งวะ"


ซึ้งในความสัมพันธ์แบบเพื่อนแบบนี้จังครับ .... จริงๆนะ

ตุลาคม 04, 2549

เบาๆกับไต้ฝุ่นเวบบอร์ด

** วันนี้เวบใต้ฝุ่นเดี้ยงๆ (เริ่มตั้งแต่เมื่อคืน) เลยขอเขียนอุทิศให้เวบใต้ฝุ่น และพี่สิบเด เลย **

ช่วงหลัง ผมรู้สึกผูกพันกับบอร์ดไต้ฝุ่นมากกว่าที่อื่น
จำได้ว่า หลายๆครั้ง เปิด PPC ของตัวเอง เพื่อเช็คกระทู้ใหม่
มีกระทู้ใหม่ของพี่สิบเด หรือ มีข่าวสารไรเจ๋งๆที่เพื่อนๆเอามาโพสได้

จำได้ หัวข้อหนึ่งของพี่สิบเด ... น้อย เสก ตอนนั้นกำลังมีข่าว
นักร้องสองค่าย เอารองเท้าปากันที่นิวยอร์ค
ผมนั่งอยู่ป้ายรถเมล์ เปิดโอทู นั่งอ่านกระทู้ ... จนจบ
แม่ง ไม่เกี่ยวกับน้อย เสก เลย พี่สิบเด บอก วันหลังจะมาพูดเรื่องนี้ใหม่

จนวันนี้ ก็ยังไม่พูด... กร๊าก

วันนั้น ขับรถไปซื้อแผ่นเปล่ากับภรรเมีย รถติด
เปิด โอทู ดูกระทู้ เจอ ออกแล้ว อินวิสิเบิ้ลเวฟ จำไม่ได้ใครโพส
แต่ดีใจ เพราะรออยู่ เนี่ย สุขเล็กๆ น้อยๆ

บางที ระหว่างไปนั่งรอหมอตรวจครรภ์ภรรเมีย ที่โรงพยาบาลลาดพร้าว
นั่งเปิดโอทู ดูกระทู้ไต้ฝุ่น ... อ้าว พี่สิบเด อัพอีกแล้ววะ สราดดดด
เร็วจัด

อะไรแบบเนี้ย เคยเป็นกันมั่งไหมครับ

สุดท้าย สร้าง blog ให้พี่แกเลย จะได้ไม่ต้องกระจายตัวในบอร์ด
มีที่เก็บที่จัดหมู่สวยงาม ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน

ที่สำคัญ ตอนนี้คนติดเพียบ
เช็คเรตติ้งแล้ว น่าจะมีคนเข้าบล็อก พี่สิบเด วันละไม่ต่ำกว่า 100 คนนะ
มีทั้งคนใหม่ กับคนเดิม คนใหม่จะน้อยกว่าคนเดิมจะเยอะหน่อย
แต่คนวิว ร่วมๆ 100 คนต่อวัน

นี่ถือว่าเยอะแล้ว เพราะเป็นเวบที่มีแต่ตัวหนังสือ ไม่มีรูป
ก็เพราะพี่สิบเด เขียนมันส์แล้วก็อัพสม่ำเสมอ คนเลยติดมั้ง ... จริง!

ตุลาคม 03, 2549

artists are sick people

ยอมรับกันเถอะ
คนชอบสร้างสรรค์
ชอบทำงานสร้างสรรค์
เขียนหนังสือ
วาดรูป
ปั้นรูป
ถ่ายรูป
เขียน blog
ทำหนังสั้น
ทำหนังยาว
เขียนบทหนัง

.....และอื่นๆ อีกมากมายสารธยายไม่ถูก

ป่วยๆกันทั้งนั้น

วันวานยังหวานอยู่

เกือบสิบปีก่อน
ผมนั่งเขียนชื่อ “หุย” ใส่ลงในสมุดบันทึกไม่มีลายหนาพอควร
ใช้เวลาว่างๆ และวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ ไปนั่งเขียน
สถานที่หลัก ... Food Center เซ็นทรัล สีลมคอมเพล็กซ์
พกซาวอะเบาต์ไปตัว (สมัยนั้นเครื่องเล่น mp3 แพง)
แต่ละหน้ากระดาษปอนด์ขาว … เขียนชื่อได้หลายร้อยชื่อ
จำนวนหน้าทั้งหมด … น่าจะเกือบร้อยหน้า
ใช้ปากกาเมจิเส้นเล็ก เขียน ไปเรื่อยๆ .... บ้าระห่ำ
มีอะไรบางอย่าง ทำให้ทำไปได้... ความรู้สึก

จริงๆ ในวันนี้ เด็กคงหัวเราะ .. มึงจะเขียนทำไมวะ
“พิมพ์ ทีนึง กด copy แล้วกด paste แล้วทำใหม่
จาก 1 ตัว เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 ไปเรื่อยๆ
ไม่กี่ทีก็ได้ทั้งเล่มแล้ว ไม่เกิน 3 นาที พิพม์ปรู๊ดเดียว ออก

ผมทำเกือบเดือน...ถ้าจำไม่ผิด...

ทุกวันนี้ ความสะดวกทำให้ความโรแมนติกลดลงหรือเปล่า
ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะยังไง ทุกอย่างล้วนมีทางออก
ปัจจุบัน เกมส์ คอมพิวเตอร์เป็น 3D ทั้งนั้น เกมส์สมัยผมเหรอ
จอเขียว แนว RPG เริ่ม ม.1 เกมส์ฮิต Ultima 5 (ภาค5!)
เกมส์เล็กๆ ตอนนั้นเหรอ dig dug, Load runner, zaxxon, archon,
โอ้ว เยอะมากมาย แต่มันได้อารมณ์มากๆ
อ้อ ยังมี สามก๊ก หนี่ง ด้วย วางแผนๆ จำได้ว่าเล่นจนหลับข้ามวันเลย สนุกมาก
จะลืมไม่ได้เลย แนว adventure พวก larry suite, space quest,
Police quest, monkey island โอ้ย พาเหรด

ลืมไม่ลงจริงๆครับ…

ตุลาคม 02, 2549

ความทรงจำสีขาวๆ เย็นๆ

เมื่อเดือน มกราคม ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปประเทศเยอรมนี
ไปอบรมเรียนวิชาหนึ่งที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทเอสเอพี
จำได้ว่า โดนส่งไปแบบฟ้าแลบ ไม่ได้เตรียมตั้งตัว
บริษัทเห็นว่าผมเหมาะสมก็เลยส่งไปเรียนซะงั้น
เราก็ไป ไม่ได้คิดอะไรมาก ถือว่าไปเรียนรู้ และไปเที่ยวด้วย
ประสบการณ์ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ที่เมืองวอร์ดอฟ
ทำให้ผมไม่มีวันลืม...

ประเทศเยอรมนี ผู้คนน่ารักดี ได้สัมผัสในเวลาสั้นโคตร
แต่ได้คุยกับคนขายของในร้านค้า ร้านขนมปัง
เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้กันเท่าไร แต่ก็พยายามเข้าใจเรา
แถมนิสัยแบบคนไทยด้วย ดูขี้อายๆ ยิ้มแย้ม บ้านเมืองสงบดี

ตอนไปถึง ผมไปคนเดียว ก็ไม่รู้ทำไร วันแรกจำได้ว่าวันอาทิตย์
ร้านแทบจะปิดทุกร้าน มีร้านขนมปังเปิดอยู่ร้านหนึ่ง
ก็เดินไปสั่ง ชี้ๆ แล้วก็จ่ายเงิน ได้ขนมปังโคตรแข็งมากัดฟันแทบหัก
ก็เลยไปเดินปั๊มน้ำมันข้างๆ โรงแรมแทน คราวนี้ได้มันฝรั่ง
กับน้ำส้ม ไม่ 100% มาปะทังหิว หลับทั้งวัน
ไม่ได้ลุกเลย อากาศดีมาก ต้องห่มผ้า หนาว แต่ไม่เหน็บ

ผมหิ้วกล้องเดินไปเรื่อยๆ ตามทางยาวสุดลูกหูลูกตา
ไม่มีร้านที่อยากเข้าไปดูจริงๆจังๆ เลยแถวนั้น
ไม่ได้นั่งรถ เพราะยอมรับว่ากลัวๆกล้าๆ คนที่นี่ไม่พูดภาษาอังกฤษ
การนั่งรถหรืออะไรจึงตัดไปเลย เล่นเดินนี่แหล่ะ สะดวกมาก
เกิดมาก็มีสองตีนแล้ว ใช้มันซะคุ้มเลย

วันสุดท้าย ก่อนรถตู้จะมารับไปสนามบินที่แฟรงเฟริต หิมะตก
อยู่มาสี่วัน ไม่ตก เสือกตกวันสุดท้าย ก็ดี
เดินเล่นทั่วเลยทีนี้ ถ่ายรูปบ้านเมือง เหยียบหิมะ หิมะปลิวปะทะใบหน้า
เย็นดี ชอบมาก ผมชอบอากาศหนาว หนาวเท่าไรไม่ว่า
ให้หนาวไปเลย หนาวเข้าไป กูชอบ... (แต่ฝนตกก็ชอบนะ ถ้านั่งที่บ้าน)

ตุลาคม 01, 2549

นักสะสม DVD ผ่าน bit

โลกอินเตอร์เน็ต มี bit torrent ฉันใด
การเช่าดีวีดี ของผม ก็ลดลงฉันนั้น

เพราะไม่ต้องเสียเงินค่าเช่า เสียรายเดือนค่า high speed
เดือนละ 500 บาท โหลดหนัง bit ได้คืนละเรื่อง
DVD นะครับ ไม่ใช่ VCD
แผ่นเปล่า ที่ใช้ vio, ohayo ตกประมาณ 15 บาท
เฉลี่ยโหลดหนังได้ 30 เรื่องต่อเดือน

เลยกลายเป็นนักสะสม DVD ผ่าน bit ไปซะงั้น :P

กันยายน 30, 2549

คำแนะนำของอาวินทร์

ผมถามเกี่ยวกับทัศนคติ คนทำงานแนวศิลปะ
เช่น เขียนหนังสือ ทำเพลง วาดรูป
ต้องมีความกดดัน หรืออุปสรรค อะไรไหม
ถึงจะทำงานได้ และชมอาวินทร์ ว่าเก่ง
เพราะสามารถออกงานได้สม่ำเสมอ
ไม่ธรรมดา

คำตอบที่ได้ มีดังนี้ครับ
ตอบเมื่อ: 2006-09-30 13:54:22 -->
ผมก็ไม่แน่ใจนักว่า จริงไหมที่ศิลปินสร้างงานที่ดีได้เฉพาะใต้แรงกดดัน
หรือประสบอุปสรรคมากมาย ผมคิดว่าไม่จำเป็น อีกประการ ศิลปะ
ไม่จำเป็นต้องสะท้อนประสบการณ์เลวร้ายหรืออุปสรรคเสมอไป

http://www.winbookclub.com/talk_answer.php?id=6552

ขอบคุณมากครับ ... อาวินทร์ (สั้นแต่ได้ใจความดี)

กันยายน 29, 2549

สวนทางกันเดิน

สังเกตอะไรที่เกิดบ่อยๆ โดยไม่ตั้งใจกันมั่งไหมครับ

ผมเดินจากออฟฟิซ ไปลงรถไฟฟ้าใต้ดิน
ระยะทาง... ยี่สิบนาที ถ้าเดินเร็ว
ระหว่างทาง แทบทุกครั้ง จะสวนกับคุณอาไว้หนวดคนหนึ่ง
บางทีเดินมาคนเดียว บางทีมากับเพื่อน สวนกันแทบทุกวัน

แปลกดี บางที ผมเคยคิด เราพบอะไร
เราเห็นอะไร มันต้องมีที่มา
แม้ว่าจะพิสูจน์ไม่ได้
ชาติที่แล้ว ผมว่ามีจริง

คนเรา เป็นเพื่อนกันได้ ผมว่า มันไม่ได้บังเอิญ
ชาติก่อนต้องเคยมี สัญญา อะไรบางอย่างกัน
คนที่เป็นเพื่อนกัน แล้วพัฒนาเป็นความรัก
ผมว่า ชาติก่อนอาจเคยอุปถัมภ์ กันและกันมา

อกหัก สมหวัง ได้คู่กัน ไม่ได้คู่กัน
ได้จับมือกัน ได้... กัน ทุกอย่าง ผมเชื่อว่า
มันต้องมาจากผลของกรรม

การที่เราพิสูจน์ไม่ได้ว่า สามจุดสามสามซ้ำ หน้าตาจริงๆเป็นอย่างไร
(เวลาเราแบ่ง 10 ออกเป็นสามส่วน)
แต่ทุกคนไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า สิบ มีจริง สาม มีจริง
สิบ ส่วน สาม มีจริง (แต่ไม่สามารถเอามาแฉได้)

เพราะงั้น ผมคิดว่า
ถ้าผมอกหัก ก็ดี สมหวัง ก็ดี ได้รักใคร ก็ได้ โดนใครรัก ก็ดี
ทุกอย่าง มีเหตุ และผล รองรับ

การที่คนเรามีชีวิตในโลกนี้ได้ ด้วยความหวัง
ได้สูดลมหายใจ ได้ยิ้ม ได้ร้องไห้ ได้หัวเราะ ได้มีเซ็ก
อะไรก็แล้วแต่ ... ผมว่า เราล้วนทำในสิ่งที่ผมพบบนถนน
ระหว่างเดินไปรถไฟฟ้าใต้ดิน

เรากำลังเดินสวนทางกันไปมา ... เท่านั้นเอง