พฤศจิกายน 29, 2549

ฟังเพลงก่อนนอน

เสียงดังจากหูฟัง Bose รุ่น TriPort (around-ear)
เสียบต่อเครื่องเล่น DVD-Portable Next Base
เปิดเสียงดังปานกลาง เพลงที่เปิด ซีดีอัลบั้ม Make Believe
วง Weezer

เสียงเพลงผ่านหูฟัง เป็นเสียงที่ดีมากๆ ชัดใส ละเอียด
เบสทุ้มได้อารมณ์ แหลมใสเกร็ดหิมะ
แยกแยะรายละเอียดเครื่องดนตรี และเสียงประสานได้
หลับตา (นอน) ไป ฟังเพลงไป แม้เสี่ยง
ตื่นขึ้นมาหูฟังอาจบิดเบี้ยว
แต่ก็อดใจไม่ได้ ที่จะฟังเพลงผ่านหูฟังก่อนนอน
มันเพราะจับใจ ความสุขดังๆ ที่อยากให้คนอื่นมาแชร์
แต่ต้องเป็นเจ้าตัวเท่านั้น สัมผัสเอง
ตามรสนิยม ตามความชอบ
ดนตรีไม่มีข้อแบ่ง ใครแยกประเภทดนตรี
ถือว่าไม่เข้าใจดนตรี ดนตรีไร้พรมแดน
ฟังเพลงเพื่อความสุข เพื่อยกระดับ
หรือฟังเพลงเพื่ออะไร
ผมไม่แน่ใจนัก ... แต่อดไม่ได้ที่จะฟังเวลาก่อนนอน
(ถ้าไม่ง่วงจนหยิบหูฟังมาครอบหูไม่ไหว)

พฤศจิกายน 27, 2549

เล่าเรื่องเมื่อคืน

ท้ายที่สุด เมื่อคืนก็ไปถึงงานแต่งงานพี่ฝน ไม่ทันเจ้าสาวเจ้าบ่าว ยืนถ่ายรูป
เวลาออกจากบ้าน 6.45 เวลาเริ่มงาน 6.00 (แล้วมันจะทันไหม)
เพราะวันนี้ช่วงบ่าย พาหุยไปบ้านแม่ จ้างคนมานวด (อยู่ไฟ) หลังคลอด
คนนวดมาสาย กว่าจะเสร็จเกือบห้าโมงครึ่ง กว่าจะกินข้าวเย็นที่บ้านหุย
แล้วออกจากบ้านหุยก็เกือบหกโมง มาถึงบ้านก็ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว
กว่าจะถึงงาน ไม่ทันเลย เฮ้อ ดีที่ตามถ่ายรูปทีหลังได้นะเนี่ย ไม่งั้นแย่เลย

ปล. พี่ฝนคือพี่ที่ทำงานที่ผมสนิทสนมมาก เพราะความจริงใจ ง่ายๆ ไม่มีพิธี
คือสบายใจเวลาคบกันไม่ต้องปั้นหน้า ไม่พอใจก็คุย ไม่มีทำตัวหน้าหลังไม่ตรงกัน
รู้สึกว่าพี่ฝนลาออกไป ผมก็เลยไม่มีเพื่อนสนิทเหมือนเดิม
แต่ตอนนี้พี่ฝนได้แต่งงานแล้ว ดีใจด้วยจริงๆครับ

พฤศจิกายน 26, 2549

งานแต่งงานพี่ฝน

วันนี้ ตอนเย็น จะไปงานแต่งงานพี่ฝน
เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจเอารูปมาโพส หรือมาเล่าให้ฟังกัน :)

ปล. สำหรับผมการแต่งงานคือการเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างเป็นทางการ
แต่สำหรับบางคน การแต่งงานคือการผูกมัด
แต่สำหรับบางคน การแต่งงานคือการสิ้นเปลือง
แต่สำหรับบางคน การแต่งงานคือจุดจบของความซน

จุดแรกของการมีครอบครัวของตัวเองคือการแต่งงาน
จุดสองคือการมีลูก
จุดสามคือการที่ลูกเติบโตพอที่จะไปมีครอบครัวเอง
จุดสี่คือการที่ลูกมีลูก
จุดห้าคือการจากไป....

พฤศจิกายน 24, 2549

ย้ายชั้น

วันนี้ ส่วนของผม จะย้ายชั้นทำงานลง หนึ่งชั้น
ตอนเช้าจะมีคนมาขนโต๊ะเก้าอี้ และทีมจะทยอยย้ายกัน
ตอนนี้โต๊ะโล่งสะอาดตาผิดปกติ เพราะไม่มีคอมพิวเตอร์
โดนยักย้ายถ่ายเทไปหมดแล้ว

วันนี้คงไม่ค่อยได้ทำงานเท่าไร เพราะอยู่ในช่วงย้ายชั้น
วันจันทร์ จะได้ทำงานชั้นใหม่แล้วสิ :)

พฤศจิกายน 23, 2549

กลิ่นบางกลิ่น ทำให้นึกถึงที่บางที่

วันนี้ตอนเข้าลิฟต์ที่ทำงาน ได้กลิ่นบางกลิ่น
ทำให้นึกถึงบางสถานที่ในชีวิต
บางครั้ง ช่วงเวลาประทับใจ ถูกจารึกไว้ด้วยกลิ่น
กลิ่นบางกลิ่น ทำให้นึกไปถึงสถานที่บางที่

จำได้ว่า มีกลิ่นหนึ่ง เป็นกลิ่นน้ำหอม ได้กลิ่นตอนไปเรียนซัมเมอร์
ตอนนั้น อายุประมาณ 16 สถานที่เรียนภาษา
ประเทศอังกฤษ ที่นั่น ได้รู้จักเพื่อนๆ หลายคน
บางคนเป็นรุ่นเดียวกัน บางคนเป็นรุ่นน้อง บางคนเป็นรุ่นพี่

สิ่งที่ประทับใจที่สุด คือตอนไปเที่ยวบาร์ แล้วเรากินช็อคโกแลตร่วมสาบานกัน
กินแล้วส่งต่อ ชฮคโกแลตเหลวๆ ผ่านหลายๆปาก หลายๆลิ้น น้ำลายเลียๆ

ส่งมาเรื่อยๆ เราสนิทกันดีมากๆ ไม่น่าเชื่อ ช่วงเวลาสั้นๆนั้น
เวลา 6 สัปดาห์ ที่อยู่ที่นั่น ให้พลังบางอย่างกับผม
................
และ chocolate ก่อเกิดสิวจำนวนมาก หลังจากกลับมา :P

พฤศจิกายน 22, 2549

นางฟ้าประจำใจ

ไม่รู้ว่าใครเคยบอก ถ้าคิดจะรักต้องรู้จักให้อภัย
ใครบางคนที่ว่า คงเคยทะเลาะกับคนที่ตนรัก
เวลาทะเลาะ ให้นึกถึงคลื่นชายทะเล
เวลาคลื่นสงบ ฟองขาวกระทบหาดบางเบา
แต่เวลาคลื่นแรง ฟองขาวกระทบโขดหิน กระจาย

ในชีวิต คนเรา ย่อมเคยรู้สึกรักใครซักคน
เพียงแต่จะมีกี่ครั้ง ที่รักนั้นจะสมบูรณ์
เวลาผ่านไป นาน แค่ไหน ความรักเดิมยังอยู่
แสดงให้เห็นว่า บางครั้ง ความรักที่แท้
ไม่ได้อยู่ที่อะไรเลย แต่อยู่ที่ใจ

รักครั้งแรกของผม ที่ผมคิดว่ามันคือรัก
เกิดตอนที่ผมเรียนป.5
เธอเป็นเด็กเก่ง ตัวเล็กๆ จำได้ว่า ผลสอบ
ประถม 6 ทุกห้อง เธอได้ที่หนึ่ง หรือที่สองเนี่ยแหล่ะ
ม.ต้น เรายังเรียนที่เดียวกัน
แต่เพราะบางอย่าง ทำให้ผมไม่กล้าจีบเธอ
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก
ทุกวันนี้ เธอก็ยังอยู่ในความคิดของผม
ในฐานะที่เรียกว่า "นางฟ้าประจำใจ"

"น้อย ... ถ้าเธออ่าน blog นี้
จำไว้ว่า เธอคือผู้หญิงคนแรกที่เรารัก
แม้ตอนนี้เราจะไม่ได้รักเธอแบบผู้ชายรักผู้หญิง
แต่เราก็ยังคิดว่าเธอคือนางฟ้าของเรา
จำได้ว่าตอนเราทรมานเพราะการทะเลาะ
สมัยที่เราจีบภรรยาเรา
เธอ ซึ่งเรียนหมออยู่ตอนนั้น
บอกเราว่า ไม่ต้องไปหาจิตแพทย์
และให้กำลังใจเรา ตอนนั้นจำได้ดี
ขอบคุณนะ นางฟ้าประจำใจ ของเรา"

พฤศจิกายน 21, 2549

รำลึกอดีตตอนไปเรียนโทที่มะกัน ตอนที่ 1 เล่าเรื่องที่เท็กซัส

ย้อนกลับไป เมื่อปี 2001 วันที่ 31 พค ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง จุดเริ่มต้นการไปใช้ชีวิตที่อเมริกา ผมได้รับตอบรับจากมหาวิทยาลัยบริจพอร์ต คอนเน็คติกั้ต ให้เรียนต่อปริญญาโท สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ได้แล้ว แต่เนื่องจากอยากเรียน โท ทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มากกว่า จึงวางแผนว่า จะใช้วิธี ไปหาโรงเรียนภาษาที่ เท็กซัส เพื่อหาลู่ทางสมัครยู ที่รัฐ เท็กซัส และเรียนที่เท็กซัส ยกเลิก ที่บริจพอร์ตเสีย

วันที่เดินทาง ไม่รู้ว่าจะไปนานแค่ไหน ถึงจะมีเป้าหมายว่าจะไปทำอะไร แต่เนื่องจากยังไม่ชัวร์ว่าจะได้มหาวิทยาลัยที่ต้องการไปเรียน ใจจึงตุ้มๆต่อมๆ อีกสองปี ข้างหน้า เป็นอย่างน้อย ผมจะต้องไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ณ ดินแดนแปลกหน้า ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก (จริงๆ อเมริกา มีคนพูดภาษาสแปนนิช เยอะมากๆ บางทีอาจจะครึ่งๆด้วยซ้ำ)

ระหว่างรอต่อเครื่อง จาก มินิโซตา ไปเท็กซัส บันทึกไว้ว่า "เครื่องบิน Delay ไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จึงจะสามารถขึ้นไปนั่งได้ ก่อนขึ้นเครื่อง ได้โทรศัพท์ไปหาสุดที่รัก 2 ครั้ง ครั้งแรกตีสามเศษเวลาไทย และอีกครั้ง เวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า ได้ยินเสียงเธอร้องไห้ ทำเราสะเทือนใจเหมือนกัน การเดินทางครั้งนี้ คือการเดินทางมาศึกษาต่อที่คาดว่าต้องยาวนานแน่ๆ ดังนั้น เตรียมใจอย่างเดียว แล้วก็เตรียมลุยด้วย ต้องลุยหาที่เรียนให้ได้…" สุดที่รัก หมายถึง หุย ภรรยาของผมนั่นเองครับ

ชีวิต ที่เท็กซัส ออซติน ผมเรียนภาษาที่ University of Texas at Austin ที่นั่น ผมได้รับการอนุเคราะห์อย่างดีเยี่ยมจากพี่เปิ้ล ซึ่งเป็นรุ่นพี่ ห้องวิศวะ ที่เตรียมอุดมฯ และเรียนรุ่นเดียวกันที่วิศวะจุฬา (ผมสอบเทียบ) เธอมาเรียน วิศวะสาขาเครื่องกล ที่นี่ และช่วยเรื่องหาที่พักให้ เป็น ดอร์ม ที่เธอเคยอยู่มาก่อน (แต่ย้ายออกแล้ว ณ ตอนนั้น) ชื่อว่า Texana (รู้สึกจะแปลว่า ชาวเท็กซัส) คือ คนเท็กซัส จะมีอีโก้นิดนึง ตรงที่จะคิดว่าตัวเองเป็นชาวเท็กซัส มากกว่าจะคิดว่าตัวเองเป็นชาวอเมริกา เหมือนเป็นความภูมิใจที่เกิดมาเป็นชาวเท็กซัส อะไรประมาณนี้น่ะครับ

เพื่อนคนไทย ที่ผมได้พบ มีหลายคน แต่คนที่ผมจะสนิทที่สุด ชื่อหนุ่ม polsak (ชื่อเล่นเดียวกันเลย แต่ผมให้คนอื่นเรียกว่า ดร ตอนเด็กๆไม่ชอบให้ใครเรียกว่าหนุ่ม) polsak เรียนวิศวะโยธา จบจาก ม.เชียงใหม่ เป็นคนเก่ง และตั้งเป้าจะเรียนโท ที่นี่ (แต่สุดท้ายได้ที่มิชิแกน) ที่โดดเด่นมากๆ แกมหน้าหมั่นไส้คือ ตอนแรกที่รู้จักกัน มันไม่ยอมบอกว่าเป็นคนไทย ทำฟอร์มเป็นไม่รู้จักผม ไปๆมาๆ ก็ได้รู้ว่า คนไทย แต่เราสองคนไม่คุยกันเป็นภาษาไทยนะครับ เราคุยเป็นภาษาอังกฤษ กระแดะมากๆ เพราะหนุ่มมันไม่ยอมคุยเป็นภาษาไทย บอกว่าจะคุยอังกฤษเท่านั้น (แต่ก็ดี มันทำให้ได้ฝึกใช้ภาษาไปในตัว)

ที่โดดเด่นอีกข้อคือ มันแดกเหล้าเก่งชิบหาย สมเป็นโยธาจริงๆ บ่อยๆเลย ณ เวลา หลังเลิกเรียน ผมจะไปที่ห้องพักของ polsak หรือไม่ก็ไปที่บ้านพักของเพื่อนเกาหลี จากนั้นก็เปิดเหล้า ดื่มๆๆ แกล้มมันฝรั่ง หรืออะไรก็แล้วแต่ จนผมคิดว่าตัวเองช่วงนั้นคอแข็งขึ้นอย่างถนัดตา คือปกติ ไม่ใช่คนที่ชอบดื่มเหล้าจัด นานๆ ที ไม่บ่อย แต่ไม่ได้แอนตี้ ดื่มได้ ถ้ามีโอกาส

บันทึกการไปกินบ้านหนุ่มครั้งแรกไว้ว่า
" Texas, Austin 29 June 2001
วันนี้เป็นวันศุกร์ ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากช่วงเย็น!! เย็นวันนี้ หลังเลิกเรียน เรา , นายหนุ่ม (คนไทยที่เรียนที่นี่เหมือนกัน , Henna (Korea) และ Hyaun Gun (Korea) ไปหาอะไรทานกันแถวๆบ้านหนุ่ม เป็นร้านไก่ อร่อยเหมือนกัน แล้วจึงไปดื่มเหล้ากันที่บ้านหนุ่มต่อ คุยกันไปกันมาสนุกสนาน เล่าเรื่องเรามีแฟนแล้วให้ทุกๆคนฟังด้วย และก็คุยเรื่องเกาหลี ไทย โดยนั่งดูทีวี ซึ่งบ้านหนุ่ม มีเคเบิ้ล เสียเดือนละ 70$ ด้วย นั่งจนกระทั่งสี่ทุ่ม จึงเดินไปส่ง Henna ที่ป้ายรถเมล์ นั่งรอเป็นเพื่อน เธอถามเรื่องหุยด้วย ผมก็เล่าว่าแฟนผมนะ ขาว ผมชอบคนเอเชีย ขาวๆ เพราะอยากให้ลูกเราขาว เธอก็เล่าเรื่องเธอมีแฟนแล้ว และขอบคุณเราที่รอรถเมล์เป็นเพื่อน (ดึกแล้วกลัวไม่ปลอดภัย ชายไทยซะอย่าง Lady First ครับ ขอโทษ) ได้ความรู้หลายอย่างเกี่ยวกับชายเกาหลี ที่ค่อนข้างกดขี่หญิง ไม่ดีๆ แค่เรื่องเงินเดือนผู้หญิงที่ตำแหน่งเดียวกันกับชาย ชายจะได้เงินเดือนสูงกว่าก็รู้สึกไม่ดีแล้ว แย่ๆ ประเทศนี้ ไม่ไหว เฮ้อออ กลับมาเมาแอ๋เลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!"

สำหรับเหตุการณ์ สนุกๆ ก็มี เช่น บันทึกวัน ID4 ไว้ว่า
" Texas, Austin 4 July 2001
วันนี้คือวัน Independent's Day (ID4) ของชาวอเมริกา มีนัดตั้งแต่ 10.30 am กับเพื่อนๆชาวเกาหลี และชาวไทย ประกอบด้วย (หนุ่ม) พรศักดิ์, ช่อง กัน, เฮนน่า และ ชางอึ้น วางแผนว่าจะไป Park ที่มีงานเฉลิมฉลอง ที่แรกที่ไป นั่งรถบัสสาย 1 ไปลงที่หน้า Capital เพราะสองสาว ไม่เคยมา เลยพาเข้าไปชมก่อน เดินอยู่ประมาณชั่วโมงหนึ่ง พรศักดิ์หิว เพราะไม่ได้ Breakfast มา เลยเดินจาก Capital ลงไปตาม 6th Street ซึ่งกลางคืน จะคล้ายๆ RCA ไทย คือเป็นแหล่งรวมผับ เดินไปไม่ถึง แวะเข้าร้าน Wendy ก่อน เราล่อแฮมเบอร์เกอร์เนื้อ ไป 1 อัน อิ่มแปล้ จากนั้น ตกลงกันว่าจะไป Zilker Park ที่คาดว่าจะมีพาเหรด หรืองานเฉลิมฉลอง ไปถึงไม่ค่อยมีอะไร โชคดีหน่อย ที่นี่มีแหล่ง ว่ายน้ำ และพายเรือเล่น อากาศร้อนจัด แต่พวกเราก็ตกลงจะเช่าเรือ สองลำ ออกไปพายในแม่น้ำ ลำแรก ชายหนุ่มสองนายไปด้วยกัน อีกลำ เราอาสานั่งตรงกลาง เผื่อสาวๆสองคนตกน้ำ จะได้ช่วยทัน (ไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาตัวรอดหรือเปล่าด้วยซ้ำ ไม่ได้ว่ายนานแล้ว) แดดโคตรร้อน ย้ำ ดำสนิท อ้อ ลืมบอกไป ค่าเช่าชั่วโมงละ 7.75$ ต่อลำ ดีหน่อยที่มาหลายคน เลยหารคนละ 3.20$
ขากลับ นั่งรอรถบัสกันชั่วโมงกว่า ไม่มีมา ผิดปกติ ตอนหลังพบว่าเขาปิดถนนทางที่รถบัสจะวิ่งมาได้ โชคดีที่ เฮนน่า มีเพื่อนมารับ เลยพามาส่งที่ UT สบายไป เฮ้ออออออออ"

หรือตอนไปเที่ยว สวนสนุก Six Flag ที่ San Antonio ก็บันทึกว่า
" Texas, Austin 4 August 2001
วันนี้ตื่นเช้า นัด 7.30 แต่สายเล็กน้อย จากนั้นขับรถไปรับชางอึ้น ที่บ้าน มาสายเล็กน้อย ขับรถไปเรื่อยๆ ไปยัง San Antonio แวะ HEB ซื้ออาหารเช้า และกาแฟ ขับรถไปเรื่อยๆ หลงเล็กน้อย ไปถึง จ่ายค่าเข้าชม 39$ ต่อคน!! เข้าไปเล่น Roller Coaster จำนวนมาก ลืมเอาหมวกไปด้วย ร้อนมาก หน้าดำแน่ๆ อาหารกลางวัน ซื้อขาไก่งวงกิน อันใหญ่ ราคา $4.50 รสชาติไม่ดีนัก จากนั้นไปเล่นเครื่องเล่นกันต่อ ติดใจเครื่องเล่นที่ชื่อ Rattler เป็น Roller Coaster ที่ดูเก่าๆ ทำจากไม้ เวลาเล่นจะสั่นๆ เหมือนจะพัง แถมเสียวยาว เสียวหลายจุด และมีเข้าถ้ำด้วย ชอบมากๆ ติดใจ นอกจากนั้นก็มีแบบที่เร็วตอนแรก เร่งเร็วจี๋ ไม่มีโอกาสกรี๊ด เสียวตลอดศก แล้วก็ยังมีอันหนึ่ง เป็น Superman สนุกมากเช่นกัน เพราะเป็น Roller Coaster ที่ไม่มีที่วางขา ขาต้องห้อย เสียวดี แถมตีลังกาหลายหนมาก สนุกสุดเหวี่ยง เกี่ยวกับน้ำๆ ก็เล่นสองสามอัน สนุกไปอีกแบบ มีแบบคล้ายๆล่องแก่ง เมืองไทยด้วย เล่นกันจนประมาณทุ่มนึง เราก็ขับรถกลับ ก่อนกลับบ้าน แวะที่ร้านอาหารทะเล ตรงถนน 6th street เจ๋งมาก อยู่ปลายๆ ย่าน Down Town ของ Austin อาหารรสชาติดี เป็นอาหารทะเลแบบปรุงเผ็ดในตัว และไม่มีจานหรือช้อนส้อม ใช้มือลุ้นๆ ดูป่าเถื่อนหน่อยๆ (สนุกดี) และปูรองโต๊ะด้วยกระดาษสีขาวสะอาดตา แถมมี สีเทียน ให้วาดเล่นในกระดาษที่โต๊ะอีกด้วย ระหว่างรออาหารมาเสริฟ เป็นไอเดียที่เก๋มากๆ เหมาะกับคนทำร้านอาหารที่สร้างสรรค์จัดๆ ที่เมืองไทยไม่รู้มียังนะครับ ร้านแบบนี้ แต่ผมว่าจะ Work มากเลย ถ้าเป็นร้านอาหารทะเล เพราะได้กินปูกินกุ้งกันกระหน่ำ แต่ก็แพงพอควร กลับไปวันนี้ไม่ได้ซักผ้าเพาะผงซักฟอกหมด"

วันสุดท้ายที่อยู่ที่ Texas เราเช่ารถขนของยูฮอ กัน เพื่อนร่วมเดินทางมีผม หนุ่ม และเฮนน่า เป้าหมายที่ไปคือ มิชิแกน แล้วผมจะไปต่อที่บริจพอร์ต เป็นการขับรถ truck ขนาดเล็กครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ แถมพวงมาลัยซ้ายอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนออกเดินทางเพียงหนึ่งวัน ถึงได้รับใบขับขี่ ที่ไปสอบไว้ที่ Texas (สอบปฏิบัติตกครั้งแรก ครั้งที่สองจึงผ่าน เซ็งมาก เพราะอะไร เพราะเราผ่านทางแยกที่ไม่มีป้าย Stop เราชะลอ เพราะอะไร เพราะเมืองไทย ผ่านสี่แยก ถ้ามึงไม่ชะลอ มึงมีสิทธิโดนสวน แต่ที่อเมริกา เห็นป้าย Stop เขาต้องหยุดนิดนึง เพื่อให้ทางเอก ต้องไม่มีรถก่อน หรือถ้าเป็นสี่แยกก็สลับกันขับ เมืองไทยมันใช้ไม่ได้ครับ ถ้าคนคุมสอบมาเมืองไทย สงสัยโดนสิบล้อสอยไปแล้ว 555)

พฤศจิกายน 19, 2549

Double "O" Seven - Casino Royale

หนังเจมส์บอนด์ ตอนล่าสุด เล่าเรื่องการกำเนิดของ เจมส์ บอนด์ แต่น่าสงสารว่า หนังเรื่องนี้เขียนมายาวนาน ตั้งแต่รุ่นพ่อผมยังหนุ่ม ตอนแรกชื่อ "Dr.No" นำแสดงโดย ณอน เคนเนอรี่ นานแล้ว จริงๆ จะว่าไป ตอน Casino Royale เนี่ย ต้องเป็นตอนที่ก่อน Dr. No เสียอีก แต่อะไรรู้ไหมครับ
 
เจมส์ บอนด์ ของเรา ใช้มือถือ แบบ PocketPC ที่ต่อ GPS ไว้ดูเส้นทาง ตอนเดินทางฉากหนึ่ง ไปโรงแรม
 
สมัย Dr. No เนี่ย อย่าว่าแต่ Pocket PC เลย คอมพิวเตอร์สมัยนั้น น่าจะมีแต่ MainFrame เครื่องเท่าตึก ฮ่าๆๆๆ
 
เอาเป็นว่า หนังดูแล้ว ไม่ถึงกับสนุกเท่าไร ผมชอบภาค ที่เพียช เล่นมากกว่า ถึงมันจะดูไม่ซีเรียส โหดหิน แมนๆ เท่าภาคนี้ แต่มัน "ตื่นตา ตื่นใจ" กว่าเยอะเลย แถมภาคนี้ไม่เน้นสาวๆ ฉากเพลงเปิดยังไม่มีรูปสาวๆ เลย และเพลงก็แต่งใหม่ด้วย ร้องโดย คริส คอรเนล แห่ง audioslave สุดเท่!
 
สรุป อย่าคาดหวังอะไรมากกับ casino royale แล้วจะดูเพลินๆ ครับ

พฤศจิกายน 17, 2549

วง RiverMaya

วง rivermaya เป็นวงจากฟิลิปปินส์ครับ
คุณ วรชาห์ สมาชิกเวบบอร์ดไต้ฝุ่นแนะนำให้ผมรู้จัก
โหลดเพลงที่คุณ วรชาห์แชร์ไว้ 2 เพลงแล้วรู้สึกดี
เสียงร้องของคนฟิลิปปินส์นี่ สำเนียงฝรั่งจ๋าเลย
ฟังแทบไม่ออกว่าไม่ใช่ฝรั่งแท้นะเนี่ย

เนื้อเพลงก็ดีนะครับ ลองหาฟังกันได้ ออกกับ วอร์เนอร์มิวสิก

พฤศจิกายน 16, 2549

ความฝัน...เมื่อเช้า

วันนี้ตอนเช้า ผมตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์
หุย (เมียสุดที่รัก) โทรมาปลุกจากบ้านแม่ของเธอ
หกโมงเช้าตรง ผมลุกไปรับสาย และ แปรงฟัน
จากนั้น ผมก็ลงไปจะอุ่นกับข้าว
ก่อนเข้าไปอุ่น ขอนอนงีบเบาๆ ซักพักก่อน ที่โซฟา

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เวลาหลับสั้นๆ ระหว่าง 6.10-6.45
ผมฝันเป็นเรื่องเป็นราว

จำรายละเอียดไม่ได้มากมายนัก แต่จำ climax ของฝันได้ดี

มันคือ... ตอนนั้นผมขี่จักรยาน
ไม่แน่ใจนักว่ามีใครซ้อนท้าย
ตอนจะเลี้ยวซ้ายที่ทางแยก
มีรถ ขับอยู่เลนขวา ซึ่งก็จะเลี้ยวซ้ายเหมือนกัน
ก็มีการเบียดเข้ามาจนผมเลี้ยวไม่ได้
เพราะเกือบจะชนผมอยู่แล้ว

ผมหยุด ทำหน้าส่ายหน้าแบบหน่ายๆ
ทันใดนั้นเอง ชายเจ้าของรถหยุดรถกึก
ลงจากรถ แล้วชักปืนจะยิงผม
ผมจับมือมัน กดลงต่ำ กระสุนถูกสาดลงพื้น
หลายนัดเลย แปลก! ผมไม่กลัว

อาจเพราะ จิตใต้สำนึกบอกว่าผมไม่ผิด
ผมถูกมันปาดหน้าเห็นๆ ยังมาโกรธที่ผมทำหน้าหน่าย
แล้วลงมายิงผมอีก จะบ้าแล้ว..

แล้วก็ตื่นมาอุ่นข้าว รีบกิน เพราะต้องไปทำงานก่อน 7.15

เดี๋ยวไม่ทันรูดบัตร!

Shadowless Sword - กระบี่ไร้เงา (ภาพยนตร์เกาหลี)

หนังเรื่อง Shadowless Sword เป็นหนังเกาหลีฟันดาบโบราณ (ลูกเล่นแบบหนังฮ่องกง
ฟันดาบ แต่เทคนิคการถ่ายทำ เอฟเฟก และวิทธยายุทธ ถือว่าไม่เป็นรองหนังฮ่องกงเลย
แม้แต่น้อย!) เนื้อเรื่อง กล่าวถึงตัวร้าย ที่ต้องการแก้แค้น ผู้ที่ฆ่าบิดาและ
ครอบครัว จึงหมายจะล้มล้างตระกูลที่เป็นศัตรู ตัวร้ายได้ไล่ฆ่าพี่ๆ ของพระเอกจน
หมด เหลือพระเอกเพียงคนเดียว (ตอนหนังเริ่มต้นเรื่อง คือการฆ่าพี่คนสุดท้ายที่
เหลืออยู่)

นางเอกคือ ผู้ที่เยี่ยมยุทธ ที่ถูกส่งมาเชิญพระเอก ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์คน
สุดท้ายที่เหลือ ให้มา ปกครองแผ่นดินคนต่อไป พระเอกไม่ต้องการเป็นในคราวแรก และ
นางเอกคอยปกป้องพระเอกจากการถูกตามฆ่าของตัวร้าย

เรื่องราวสุดระทึก ตัดต่อดี ถ่ายทำสวย แถมยังมีฉากจบที่เรียกน้ำตาได้สบาย (
โรแมนติกดี) ขอแนะนำให้คนที่สามารถหามาดูได้ รีบหามาดูด่วนเลยครับ ไม่แน่ใจว่า
จะเข้าฉายในไทยหรือเปล่า แต่ผมได้มาจากการโหลดบิต เป็นดีวีดี ภาพใสกิ๊ก (เสีย
แต่เสียงไม่ตรงกับปาก นิดหน่อย)

ส่ง blog ผ่าน email

เนื่องจาก มี feature โพส blog ผ่าน email
ซึ่งน่าสนใจ เลยขอลองครับ
 
because the email posting feature is new for me
 
so this is a test posting thru email

พฤศจิกายน 15, 2549

ความเงียบเหงาของบอร์ดไต้ฝุ่น

หลังจากเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นที่บอร์ด
พี่สิบเด ก็เงียบหายไปจากวงการเวบบอร์ด
ตัวการสำคัญเกิดจากการทะเลาะกันเองในบอร์ด

ผมคิดว่ามันเป็นเรื่อง emotional conflict
เรื่องของอารมณ์ขึ้นๆลงๆ เหมือนงาน
วันเวลา สร้างความเคยชิน
เมื่อเคยชินก็กลายเป็นเบื่อ
พอเบื่อก็พาลเลิกไปเอง

คนที่ทำได้เรื่อยๆ ด้วยใจรักเท่านั้นแหล่ะครับ

ของจริง ... เวลาพิสูจน์คน จริงๆครับ

พฤศจิกายน 14, 2549

Multiple Self

หลังจากกลับมาคิดเรื่องหนัง the Prestige สองสามตลบ ถึงความเป็นไปได้ในการ multiple ตัวเราแบบทันทีทันใด แล้วกลายเป็นเราอีกคน (another self) บนเนื้อหนังของร่างกายนี้ ที่เราคง มันคือ self ของเรา ภาพ รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่รับรู้โดยเรา (self) นั้น เราย่อมรู้ดี อย่างมองเท้าตัวเอง แล้วบังคับเท้าให้กระดิก เราควบคุมมันเอง

แต่ถ้ามีตัวเราอีกคนเกิดขึ้นมาแบบสมบูรณ์ เหมือนเราทุกอย่าง เหมือนใจแยกไปควบคุมร่างสองร่างพร้อมเพรียงกัน คือใจมีดวงเดียว แต่กายมีสองกาย ลองเปรียบเทียบตัวอย่างจากเรื่องของการมองเห็น เราจะมองเห็นภาพซ้อนภาพกัน สองภาพ จากสายตา 2 คู่ คู่แรกเกิดจากสายตาของเรา อีกคู่เกิดจากสายตาของตัวเราในร่างใหม่ที่เกิดขึ้นมา จริงๆในการคิดแบบนี้มันเป็นอะไรที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ ใช่ครับ มันเป็นไปไม่ได้ถ้ามองในแง่ชัดลึกแบบนั้น แต่ถ้ามองในแง่ชัดตื้นล่ะ?

แง่ชัดตื้นในที่นี้ ผมหมายถึง ตัวเรา ที่ทรงอยู่ในร่างกายตัวเองนั้น เป็นไปได้ว่าเรากำลัง Simulate เหตุการณ์แบบชัดลึกที่ว่าอยู่ตลอดเวลา... อันนี้ยกตัวอย่างไม่ยากเลย เช่น ขณะที่เรากำลังทำงานอยู่ แล้วเราเปิดเพลงฟังไปด้วย เสียงเพลงที่เข้ามาในสมอง กับ การควบคุมร่างกายให้เคลื่อนไหวทำงานไปพร้อมๆกัน หรือประมาณว่า หูฟังเพลงแบบไม่จับเนื้อหา กับสมองนึกเรื่องงานที่เพ่งไปยัง ก็ดูจะเป็นการ “เห็น” สองสิ่งในเวลาเดียวกัน หรือ “ทับซ้อน” ทางการควบคุม self นั่นเอง

แต่ถ้ามองให้ตื้นเข้าไปอีก เราอาจกำลังมองได้ว่า จริงๆแล้ว ร่างกายเรา ชีวิตเรา ตัวเราเองนั้น ไม่ได้มีแค่ one self แต่เป็น multiple self ตลอดเวลา องค์ประกอบต่างๆของร่างกาย ทุกส่วนมี self ของตัวเองควบคุมอยู่ ไม่ว่าจะเป็น หู จมูก ปาก กาย ใจ สมอง เท้า อวัยวะเพศ ทุกอย่างมี self ของตัวเอง ทำหน้าที่ขนานกันไปตลอดเวลาไม่เคยพักผ่อน

ความคิดที่จะหลุดพ้นจากตัวเองได้นั้น เราต้องแยกเอา self ทั้งหมดออกมาให้ได้ จากนั้นเราก็ทำให้ self ทั้งหมด สลายหายไป ตราบใดที่ self ยังจับตัวกันอยู่ เราก็ยังคงอยู่ในโลกนี้ คือแม้ร่างกายจะตายแล้ว self ที่เป็นวิญญาณก็ยังคงอยู่ มันยังควบคุมเราอยู่ เราในที่นี้คือ หลายๆ self ถ้า วิญญาณเรากลับมาเกิดใหม่ในร่างอื่น ร่างอื่นก็จะกลายเป็นอีก self หนึ่ง ที่อยู่ในชาติปัจจุบัน เมื่อใดที่ยังคงมี multiple self เราก็จะยังอยู่ในวัฏสงสารตลอดกาล

แต่คราใดก็ตาม เราสามารถสลายแรงยึดเกาะ self ที่มีอยู่ดังกล่าวออกจากกันได้ เราก็จะกลับสู่ธรรมชาติ ไม่มีตัวตนหลงเหลือ ไม่มี multiple self – มีเพียง one self ซึ่งก็จะกลายเป็น สุญญตา ต่อไป หรือ นิพพาน...

พฤศจิกายน 13, 2549

รักแท้... รักแรกพบ...

…ถ้าใช่ ซักวันก็คงจะรักกันเอง ใครหลายคนเชื่ออย่างนั้น … แต่จะไม่ให้ทำอะไรเลยเหรอ...แมร่งงงง

ผมคิดว่า ผมสามารถเปลี่ยนความคิดของเธอได้ ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าในคราวแรกที่เข้าไปจีบ เธอไม่ได้ชอบผมเลย หลังจากที่ผมพยายาม และทุ่มเท ทั้งกายและใจ ทำให้เธอหันมาสนใจ และในที่สุดก็รักผม...

มันถูกต้องแล้วหรือ?

ความรักควรเกิดจาก รักครั้งแรกเท่านั้น ประมาณเห็นหน้ากัน แล้วชอบกันในทันที เมื่อเข้ามาคุยกัน ก็ยิ่งทำให้ความรักเติมเต็ม แบบนั้นเท่านั้นหรือไม่ ที่เรียกว่า รักแท้

แล้วรักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องจีบอีกฝ่ายหนึ่งเนี่ย ...

มันถูกต้องแล้วหรือ?

บอกผมทีครับ ผมอยากรู้มาก

พฤศจิกายน 12, 2549

The Prestige (มายวิทยากล)

The Prestige จัดเป็นหนังที่กล่าวถึง วิทยาศาสตร์ และ มายากล ในเวลาเดียวกัน เป็นการปะทะกันระหว่าง หนังวิทยาศาตร์ ที่โม้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังทำไม่ได้ กับ หนังชีวิตนักแสดงมายากล ได้อย่างพอดี และมีน้ำหนัก การตัดต่อทำอย่างไม่เรียงลำดับเหตุการณ์ แต่จะตัดสลับไปมาอย่างมีชั้นเชิง ทำให้คนดูไม่งง คือไม่ทำให้สลับสับสนโดยไร้ความหมาย แต่มีจุดหมายในการกระทำ น่าชื่นชมครับ

เรื่องนี้ นำแสดงโดยนักแสงหนุ่มไฟแรง สองคนที่ผมชื่นชอบฝีมือทั้งคู่ คนแรกเล่นเป็น โรเบิร์ต แองจี้ โดย ฮูจ แจ็คแมน (X-Men วูฟเวอรีน) และ คริสเตียน เบล (Batman Returns, Machinist) ซึ่งโชว์พลังการแสดงได้ดีเหมือนเดิม ดาราประกอบก็เล่นดีมากๆ ได้แก่ไมเคิล เคน แสดงเป็นคัตเตอร์ และ สกาเลต โจแฮนสัน แสดงเป็นโอลีเวีย ผู้ช่วยนักมายากล

จะว่าไปแล้ว หนังแนวที่มีสองคน สองบุคคลิก หรือ ไม่มีตัวจริง มีตัวจริง มีให้เห็นอยู่ในหนังหลายๆ เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น กรณี สองคน มีตัวจริง อย่างกรณี Fight Club ที่เผยตอนจบว่า จริงๆแล้วคือคนเดียวกัน หรือ สองคน มีตัวจริงคนไม่มีตัวจริงคน อย่างเรื่อง Sixth Sense แต่สำหรับเรื่องนี้ เป็นการแสดงถึง 2 คน (หรือมากกว่า) ที่มีจริง โดยแบ่งการมีจริงออกเป็น 2 เหตุผล เหตุผลแรกคือ ธรรมาชาติ ของการมี 2 คน อีกเหตุผลหนึ่งคือ เรื่องโม้ (แบบวิทยาศาสตร์)

ไม่ขอเล่ารายละเอียดหนังแล้วกันครับ เขียนแบบนี้คนไปดูก็ยังไม่รู้เรื่องว่าเป็นอย่างไร ยังลุ้นกันได้อยู่ จริงๆหนังทำให้เราเดาเรื่องได้ก่อนจบเรื่อง ดังนั้น plot ค่อนข้างสำคัญ อย่าเพิ่งรู้ ให้ลุ้นเอง

ประเด็นที่อยากเปิดคือ cloning ครับ

เรา (self) เห็น เป็น อยู่ ในร่างตัวเอง ถ้าเรา cloning ได้ แบบไม่ใช่สร้างสิ่งมีชีวิตจาก 0 ให้เป็น baby ที่มาจาก cell เรา แต่เป็นการสร้างปุบปับ แว้บเดียวได้อีกคน คนคนนั้น จะรู้สึกแบบเดียวกับเราไหม หรือ จะมี two self กัน คิดเล่นๆ นะ เพราะยังไง มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ ผมว่า

พฤศจิกายน 11, 2549

วันนี้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลฯ

วันนี้ ตื่นตั้งแต่หกโมงสิบห้า หุยโทรมาปลุก เพราะวันนี้นัดคุณหมอที่ รพ.บำรุงราษฎ์ เพื่อไปตรวจร่างกายประจำปี บริษัทออกเงิน คืนนี้ต้องมานอนบ้านหุยด้วย ก็เลยเร่งๆ หยิบนั่นหยิบนี่ ไม่ครบเท่าไร หลงๆลืมๆ แต่ก็ยังดี ที่ไปถึงรพ. เวลา 7.40 เวลานัดพอดี

ไปถึงก็สบายครับ คนเยอะจริง แต่ยังไม่เยอะมาก ได้ทำนั่นทำนี่ ตั้งแต่ เอาปัสสาวะไปตรวจ (ได้เยอะเชียว) ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ตรวจความดัน วัดสายตา เจาะเลือด ให้คุณหมอตรวจร่างกาย จนจบที่ X-Ray หน้าอก

หลังจากตรวจเสร็จ ลงไปแวะ McDonald ชั้น M ด้วย ซื้อชุด McFish ไป 85 บาท ไม่เพิ่ม 10 บาท หิ้วใส่ถุงกินในรถ เพราะต้องไป สำนักงานเขต ต่อ จะไปทำเรื่องย้ายน้องเฟย์เข้าบ้าน

ไปถึงเขต ปรากฏว่า ทำไม่ได้ มีแต่ลายเซ็นพ่อ (เจ้าบ้าน)ไม่พอ เขาจะเอาสำเนาบัตรประชาชนด้วยง่ะ เฮ้อ แบบนี้เลยโทรให้พ่อส่ง EMS มาให้ วันจันทร์/อังคารนี้ คงต้องเข้างานสาย เพราะต้องไปทำเรื่องที่เขตก่อนเข้าออฟฟิซ :)

บ้าน

ทุกวันนี้ สิ่งที่ดูเหมือนจะยาก มากๆ สำหรับ
วัยที่กำลังเติบโตมีครอบครัว และไม่มีทางบ้าน
สามารถ support ที่อยู่อาศัยให้แบบตกทอด
พวกเขา ที่เพิ่งเริ่มมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
เพิ่งแต่งงาน เพิ่งมีลูก ... และกำลังมองหา บ้าน

บ้านในที่นี้ ผมรวมทั้ง condo หรือ apartment
ถ้าคุณต้องการ "ซื้อ" บ้าน เพื่อต้องการเป็นเจ้าของ
ปัจจุบัน ราคาแพงมาก โดยเฉพาะถ้าอยู่ กรุงเทพ

เงินเดือน 2 - 5 หมื่น เป็นเงินเดือนประมาณ ป.โท
ทำงาน office กินเงินเดือน บ้านราคาหลังละ 5 - 10 ล้านบาท
ตี maximum 10,000,000 / 50,000 = 200 งวด !
ตีว่าต้องใช้จ่าย 5 หมื่นเนี่ย กับค่าอื่นๆ เหลือมาผ่อนได้ 25,000
ตีเป็น 400 งวด จ่ายงวดละเดือน

400 เดือน ! ปีนึงมี 12 เดือน 400 / 12 = 33.3333 ปี !

อายุเริ่มซื้อบ้าน ประมาณ 30 ขวบ จนอายุ ประมาณ 63 ขวบ ผ่อนบ้านหมด!
แต่... 25000 เนี่ย ไม่น่าได้ ตีเป็น 20000 น่าจะไหว

กลายเป็น กว่าจะผ่อนบ้านหมด ก็... อายุ 70 .. -_-"

แล้วใครละครับ จะไปทำได้ ถ้าทำงาน office !

เด็กขายพวงมาลัย

สำหรับคนที่เคยขับรถในบางกอก เมืองหลวงสุดหรู ศิวิไล มีจำนวนห้างสรรพสินค้ามากกว่าจำนวน ร้านแนว seven eleven ในบางเมือง อย่าง Waldorf (เยอรมนี)

มีใครมั่งครับ ถามที ที่ไม่เคยจอดรถติดไฟแดง ตามสี่แยกใหญ่ แล้วมีเด็กตัวเล็กๆ บางคนอายุไม่น่าเกิน แปดเก้าขวบ ยืนเกาะกระจกรถ แล้วมองเข้ามาด้วยสายตาไร้ประกาย เป็นดวงตาแห่งความเศร้า เป็นไปได้ … ส่วนใหญ่ไม่มองหน้าเด็กๆเหล่านั้นด้วยซ้ำ บางคนทำมือปัดไปมา เป็นที่รู้กันว่า “ไม่เอา” ถ้าเด็กน้อย ไม่ตื๊อจนเกินไป ก็จะเดินข้ามไปยังรถคันถัดไป บางคนโรคจิต เห็นเด็กหน้าตาน่ารัก เริ่มมีหุ่นของความเป็นสาว ก็เปิดกระจก แล้วทำเป็นพูดคุย ได้โอกาส หลอกจับไม้จับมือ ทะลึ่งมากอาจเลยเถิดไปจับก้นจับนม... หาเศษหาเลยกับความด้อยโอกาสทางสังคม... โคตรเลว

ผมอยู่ในกลุ่มแรก คือไม่มองหน้าเด็กๆเหล่านั้นด้วยซ้ำ เพราะอะไร หลายคนอาจมองว่าผมใจร้าย แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหรอกครับ แท้จริงแล้ว ผมเป็นคนขี้สงสาร ใจอ่อน แต่ในขณะเดียวกัน ก็อายมาก ในการทำอะไรก็ตาม ที่มี Reaction จากสิ่งที่กระทำด้วย อย่างกรณีนี้คือ ผมอายสายตาคนอื่นที่จับจ้องมายังรถ ถ้าผมเปิดกระจก แล้วซื้อ หรือ มองหน้าพูดคุยกับเด็กขายพวงมาลัย ก็อายสายตาของคนที่ด้อยโอกาสกว่าเราอีก ไม่รู้จะอายอะไรกันนักหนา ทั้งๆที่ ถ้าทำดีได้ ก็ควรทำ ใช่ไหมเล่า :)

พฤศจิกายน 09, 2549

free form กับ 10เดซิเบล

งานเขียนของพี่สิบเดซิเบล ได้ฤกษ์พิมพ์เป็นตอนๆ ลงในนิตยสาร ฟรีฟอร์ม เสียแล้วครับ ใครเป็นแฟนงานเขียนดิบเถื่อน มีคติ เหมือน flash back กลับไปกลับมา ห้ามพลาดเด็ดขาด ราคาเล่มละ 50 บาท วางขายแล้ว เล่มนี้เปิดตัว นิยาย i fine novel เป็นชุดที่เล่าเรื่องวัยเด็กของพี่สิบเดซิเบล ตัวละครหลักๆ เช่น ไอ หมู เป็นต้น อ่านแล้วจะติดใจน้อ

เปลี่ยนโฉม blog ครับ

เพื่อความสะใจ ผมเลยเปลี่ยนสีซะหน่อย
ต่อไปจะพยายาม update ให้บ่อยๆ
ห่างๆหายๆ ไปๆมาๆ วุ่นๆ

พรุ่งนี้วันศุกร์ วันเสาร์จะไปตรวจร่างกาย
ต้องงดอาหาร งดน้ำด้วยง่า T_T

อะไรคือสาเหตุที่เธอไม่ยอมมีแฟน ไม่ยอมแต่งงาน

จากประสบการณ์ ผมได้พบกับผู้หญิงที่หน้าตาดี หลายๆคนเลย
มีทั้งที่ไม่ยอมมีแฟน หรือมีแล้วเลิกกับแฟน แล้วก็ไม่มีแฟนอีก
บางคน หน้าตาน่ารัก ใช้ได้ แต่ดูออกจะห้าวๆ เหมือนทอม
บางคน หน้าตาหวาน นิสัยอาจไม่น่ารักเหมือนหน้าตา
ผมขอเป็น case ที่ผู้หญิงหน้าตาดี หรือปานกลาง “พอ” ที่จะ
มีคนชอบและอยากแต่งงานด้วยนะครับ เพราะถ้ากรณี
ผู้หญิงปล่อยตัวจนอ้วนมากๆ หรือไม่สวยเอาเลย แบบนี้
ไม่มีความจำเป็นต้องไปหาเหตุผลซ้ำเติม อยากได้ความเห็น
ที่เป็นกรณีกลางๆ น่ะครับ

คืออย่างนี้ ผมสงสัยครับว่า ทำไมผู้หญิงบางคนถึงเลือกที่จะ “โสด”
คิดเหตุผลเล่นๆ แล้วเอามาเรียงเป็นข้อๆ ตามความเห็นส่วนตัว
โดยมาจากประสบการณ์ตรง จากการดูในหนัง จากความเชื่อส่วนตัว ฯลฯ
เท่าที่พอนึกออก ก็ได้มาตามนี้เลย

1. เคยเจ็บปวดจากการมีความรัก แล้วแฟนคนแรก
ไปมีแฟนใหม่ ทำให้เธอเสียใจ และเกลียดผู้ชายไปเลย (เหมา)
2. เคยมีแฟน แล้วเคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟน แล้วเจ็บ ไม่สนุกเอาเลย
รู้สึกไม่สบายกายเอามากๆ ทำให้ขยาดการมีแฟน ไม่ชอบการมี
อะไรกับเพศตรงข้ามไปเลย เลยขอไม่แต่งงานดีกว่า
3. เคยโดนล่วงละเมิดทางเพศ เช่น โดนข่มขืน ทำให้ฝังใจ
เกลียดกลัวเพศตรงข้าม
4. รักใครบางคนเอามากๆ แต่เขาไม่รักตอบ ก็เลยตั้งปณิธาน
จะขอเป็นโสด รอเขาตลอดไป
5. ไม่แต่งงาน แต่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่รัก อาจเป็นในรูปแบบ
“เมียน้อย”, “สนุกมั่วชั่วข้ามคืน” ฯลฯ โดยมีทรรศนคติในชีวิต
ว่า “ความสุข” ที่คุณดื่มได้ ไม่คิดจะมีชีวิตที่ “ผูกมัด”
6. รักครอบครัวมาก ไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุล แม้กฎหมายจะ
เอื้อให้ “ไม่จำเป็นต้อง จดทะเบียนแล้วเปลี่ยนนามสกุลตามสามี” ก็ยังไม่ยอม
อยากเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ตลอดไป
7. นิสัยแปลกประหลาดจัด ทำให้ไม่สามารถคบชายคนใดได้จนเขายอม
ที่จะเอามาเป็นคู่ชีวิต เช่น เวลาไม่พอใจอะไรก็จะตะโกนคำหยาบ “xxx”
8. เจ้าชู้มากเกินไปจนชายใดก็ระอา แถมหลบเก่ง พอโดนจับได้ คนเลยหนีหาย

เอาแค่นี้ก่อนครับ ใครมีไอเดีย อะไรเสนอมา comment มาได้

พฤศจิกายน 03, 2549

ความตาย, ทฤษฎี ถังแห่งจักรวาล, สมชาย, พระเจ้า

ความตายคืออะไร ในหนังสือ hear the wind sing
ของ ฮารูกิ มุราคามิ (ฉบับแปลโดยคุณนพดล แห่ง
สนพ มติชน ชื่อว่า สดับลมขับขาน) มีคำกล่าวไว้
โดยตัวละครที่เรียกตัวเองว่า “ผม”สรุปได้ว่า ความตาย
คือการเปลี่ยนแปลง ... คือพัฒนาการ (หรือวิวัฒนาการดี)
... คือการที่ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย
จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ... ไหนลองบอกเหตุผลของคุณ
มาให้ผมฟังบ้างสิครับ...

คุณเคยคิดถึงความตาย เวลานอนหลับ

เสียวสันหลังวาบ รู้สึกปลายทางชีวิต มีการขีดเส้นกำหนดให้แล้ว
สำหรับมนุษย์ทุกชีวิต มองไปข้างหน้า เราอยู่ที่นี่ทำไมกัน
... ในเมื่อ จักรวาลมีข้อจำกัด ดวงอาทิตย์มีวันดับ โลกมีวันแตก
มนุษย์เกิดมาในช่วงหนึ่งของกาลเวลา แล้วก็ดับสูญ
สลายไปกลายเป็นอะไร...ก็ไม่รู้

กระนั้นเลย มนุษย์ที่ต้องการดิ้นรน พัฒนา สร้างสรรค์

ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ ทั้งในแง่ศิลปศาสตร์
หรือแม้แต่มนุษย์รากหญ้า หาข้าวมากรอกท้องไปวันๆ
ป้าหมายจริงๆ ของการทำสิ่งเหล่านั้นคืออะไรกันแน่
... ถ้าพวกเขาได้ทบทวนถึงความตายบ่อยๆ
จุดจบสุดท้ายบ่อยๆ อาจมีบ้าง ... Side effect …
เหงื่อแตก หวาดผวาตอนดึก ตื่นขึ้นมาใบหน้าเครียด
ร้องเรียกหาแม่.. และสุดท้าย เมื่อคิดจนเข้าใจ
และจำขึ้นใจแล้ว พวกความคิดที่ต้องการเป็นเจ้าของนั่น
เจ้าของนี่ อาจเบาลงได้บ้าง (เพราะสุดท้ายแล้ว
เราไม่มีอะไร เรามาจากความว่างเปล่า และกลับสู่ความว่างเปล่า)

ลองคิดเล่นๆ ถ้ากำเนิด เกิดขึ้นในโลกนี้ ... มีมาก่อน ...

จากนั้น เมื่อสิ้นอายุขัย ... ความตาย ถือครอง...
เราเริ่มต้นจากวันเกิด และจบสิ้น เมื่อวันตาย ... คำถามมีอยู่ว่า
จุดเริ่มต้น มีอยู่จริงๆหรือ... จุดเริ่มต้นแรกสุดคืออะไร ...
การตายคือการพัฒนาไปสู่... อืมมมม เอาอย่างนี้
ผมขอตั้งทฤษฎีแล้วกัน

[ถังแห่งจักรวาล]
เป็นที่ๆเก็บจุดที่เล็กที่สุดที่จะเล็กได้เมื่อแยกสิ่งที่จิ๋ว
ที่สุดออกย่อยที่สุด จำนวนของมันคือ เท่าที่ถังนี้เก็บได้
… ขอเรียกมันว่า “สมชาย”

กำเนิดของ สิ่งมีชีวิต และสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์
ธาตุ เพชร พลอย อากาศ เกิดจากการรวมตัวของ
“สมชาย” ทั้งนั้น แต่ความซับซ้อนเกิดจากการพัฒนา
เมื่อ “สมชาย” รวมตัวกันจนเป็นกลุ่มก้อนรูปแบบ
template ใด เข้า ก็จะเป็นเช่นนั้น เช่น “สมชาย”
รูปทรง A + “สมชาย” รูปทรง B = ออกซิเจน และ
เป็นแบบนั้นตลอดไป จะไม่มี “สมชาย” เหลือคราบให้เห็นอีก
ณ วินาทีที่ ถังแห่งจักรวาลถูกเขย่า ถือเป็นจุดแรกของทุกสรรพสิ่ง
เพราะจากนั้นเพียงไม่กี่วัน “สมชาย” ก็กลายเป็น “สิ่งอื่น” ...

ในทางพุทธศาสนา “นิพพาน” คือการกลับสู่ “สมชาย”
....
เพราะเมื่อกลับเป็น “สมชาย” เราจะไม่มีวันถูกรวมเป็น
“สิ่งอื่น” ได้อีก เมื่อเป็น “สมชาย” แล้ว ก็คือเป็น “สิ่งเดิม”

การจะกลับสู่ “สมชาย” ได้ ของมนุษย์ คือ จิตใจต้อง
สะอาด บริสุทธิ เพราะการแยก “สมชาย” ออกได้
ต้องอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะมองให้เห็น “สมชาย” ของตัวเอง

“สมชาย” เมื่อถูกพิจารณาจนเห็น ก็จะสามารถแยกออกจาก
เนื้อหนังมังสา กระดูก เถ้ากระดูก สมอง สติปัญญา ความคิด
ได้... แต่จะเป็นเมื่อเสียชีวิต ซึ่ง กลุ่มการรวมตัว “สมชาย”
หนึ่ง ที่เรียกว่า “วิญญาณ” จะหลุดจาก “สมชาย” กลุ่มการรวมตัว
ที่เรียกว่า “ร่างกาย” (แน่นอน ... ที่เน่าเปื่อย)

จะเห็นได้ว่า เรายังสามารถรวมความคิดแบบนี้
เข้ากับความคิดในเรื่อง “พระเจ้า” ได้อีกด้วย โดยคำถามที่ว่า
“ถังแห่งจักรวาล” เล่า ถือกำเนิดมาได้อย่างไร แนวความคิดผม
ถือว่า “ถังแห่งจักรวาล” เป็น ถังที่ตั้งอยู่ในห้องของพระเจ้า
ท่านมีถังนี้โดยแท้จริง ไม่มีกำเนิด ไม่มีสิ้นสุด ตั้งอยู่ตลอดไป
ม่ขึ้นกับกาลเวลา และคงที่เช่นนั้น

สรุปว่า ศาสนาพุทธ สอนให้เรากลับสู่ “สมชาย”
ซึ่งคือสิ่งที่เล็กที่สุด ก่อนสรรพสิ่ง ที่อยู่ในถังแห่งจักรวาล
จะรวมตัวกัน โดยถังนี้ เป็นถังของพระเจ้า ซึ่งไม่มีวันเกิด
ไม่มีวันดับ เป็นอย่างนั้น และเป็นอย่างนั้นตลอดไป
โดยศาสนาที่นับถือพระเจ้า จะสอนให้เราไม่ต้องกลับสู่
“สมชาย” แต่ให้ออกจากถังแห่งจักรวาล เพื่อไปหาพระเจ้า...

=D