ธันวาคม 26, 2549

คิดถึงเมกา

นั่งนิ่ง นึกภาพเก่า มะริกา เมืองเก่าที่เคยอยู่
นึกถึงชายทะเล Bridgeport ยามหน้าหนาว ลมแรงพัดกลิ่นไอเกลือจากน้ำทะเลเข้าปะทะใบหน้า หรือโรงยิมที่มหาวิทยาลัย และคนดูแล (ฝรั่งไว้หนวดอายุพอควร(แก่)) สระน้ำอุ่น ขนาดมาตรฐาน ยาวพอดีๆ ที่ห้องอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ชาย มีแต่คนแก้ผ้าอาบน้ำกันไม่อายฟ้าดิน โตงเตงไปมา (แต่ห้องหญิงไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเข้าไป) ร้านอาหารจีน ที่รสชาติไม่ดี เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพ อาหารแต่ละอย่างมันๆทั้งนั้น แต่กินทีไรก็อิ่มทีนั้น เพราะเยอะจัด เมนูที่สั่งบ่อยคือ ข้าวไข่เจียวกุ้ง ราดน้ำซ้อสข้นๆเหนียวๆ อร่อยดีนะครับ ไม่คิดว่าจะได้กินไข่เจียวที่อเมริกาจากร้านอาหารที่ไม่ใช่อาหารไทย เพราะไข่เจียว คนอเมริกาไม่ทำกิน เขาทำ แสครมเบิลเอ้ก หรือไข่คน เอาไข่มาตีๆ เละๆ ไม่ใช่ไข่เจียว รสชาติก็ไม่อร่อยเท่าด้วย
คิดถึงร้านขายซีดี ที่ชอบไปแวะเรื่อยๆ ก็มี บาร์น แอน โนเบล กับเบสต์ บาย หรือไกลหน่อย ก็ไป ทาวเวอร์ เรคคอร์ด ซึ่งจะมีซีดี เพลงที่หายากๆหน่อยเยอะ
คิดถึงเจ้ารถ ฟอร์ด เอสคอร์ต อายุ 10 ปี มือสอง ที่ซื้อต่อจากเจ้าของที่เป็นคนแก่ จำไม่ผิด ซื้อมา 2,600 เหรียญ มั้ง (หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย) รถคันนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ใช้มันเยอะคุ้มสุดๆ สภาพมันก็จะผุๆหน่อย จำได้เลย ตอนหุยมาเที่ยวครั้งที่สอง ขับมันไปรับหุยที่สนามบิน เจเอฟเค ปรากฏว่า ขากลับ ดันเสียกลางทาง บนทางไอ นายตี้ไฟฟ เสียนี่ (I-95) ตอนนั้น เครียดเลย เพราะเพื่อนคนไทยก็ไม่อยู่พอที่จะช่วยเหลือ ต้องติดต่อรถลากเอง หาที่พักชั่วคราว รอให้รถซ่อมเสร็จ เสียไปหลาย ยังดีที่ได้เพื่อนชาวไต้หวันที่ชื่อโจ (มู หมิง หลิน) ขับมาเป็นสารถี พาไปโน่นนี่ (ตอนหลังโจยืมเงินผมไป 500 เหรียญแล้วไม่คืน ก็ถือว่าเป็นค่าจ้างแล้วกันเนอะ T_T)
คิดถึงคาสิโน ที่ Connecticut มีสองแห่งที่เคยไป ชื่อ โมฮีแกน ซัน กับ อีกอันชื่อไรหว่า ลืมๆและ
คิดถึงสวนสนุก จำชื่อและเมืองไม่ได้แล้วอะ แต่ไม่ใหญ่มาก จัดตามเทศกาล จำได้ว่า พี่โอมชวนไปมั้ง ไม่แน่ใจ แต่ก็สนุกดี มีแบบ โยนตัวลงมาเหมือนบันจี้จัมพ์ด้วย แต่ไม่ได้เล่น (ทั้งแพง และไม่กล้า)
คิดถึงนิวยอร์ค อันนี้แน่นอน ขาดไม่ได้ เป็นเมืองที่อุดมไปด้วยความเจริญก้าวหน้า ทางศิลปะ และเทคโนโลยี ที่สำคัญ มีแหล่งให้ซื้อของหลากหลายมากมาย รู้สึกตัวเองโชคดีที่ได้มาเรียน ใกล้ๆ นิวยอร์คซิตี้ ถึงไม่ได้อยู่ในตัวเมืองก็ตาม แต่ถ้าเลือกได้ ก็คงไม่อยู่หรอก ให้อยู่ คงไม่ชอบ แต่ให้อยู่ใกล้ๆ มาเมื่อไหร่ ขับรถไม่เกินชั่วโมงเนี่ย ชอบ
คิดถึงเคปคอด (Cape Cod) ไปเที่ยวกับหุย ก่อนกลับเมืองไทย เมืองชายทะเลหรู สำหรับพวกคนรวยของอเมริกา ประทับใจไม่หายกับการเป็นกระเหรี่ยงเหลืองสองคน เข้าไปนั่งร้าน Lobster แบบบ้านๆ ที่อเมริกันมากๆ หรูหราแบบคนรวยอเมริกัน โดยไม่แคร์สายตาคนมอง (รู้สึกต่ำต้อยจัง แต่ก็มันดี) จำได้ว่า ตอนไป เป็นหน้าที่คนไปเที่ยวกัน คนเยอะมากๆ ไม่มีที่พัก สุดท้ายต้องกลับมาพัก ตีนสะพานทางเข้า Cape Cod เป็นเหมือนห้องแถวเล็กๆริมถนนสุดๆ
คิดถึงตอนไปเที่ยว whale watcher นั่งเรือไปไกล ลมเย็นตีหน้า ซื้อเบีย กระป๋องละ 5 เหรียญมั้ง นั่งถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ เป็นทริป ตอนไปเคปคอดแหล่ะ
คิดถึงตอนขับรถไปกว่า 3 พันกิโล เที่ยวทั่วลง Florida ขับรถไกลมาก ยาวมาก ง่วงมาก หลงทางก็มี ประทับใจมาก ไม่คิดว่าจะเกิดบ่อยๆในชีวิตนี้ เพราะคนเราย่อมมีโอกาสทำอะไรแบบนั้นไม่มาก ก็ชอบนะ เจ้าฟอร์ด เอสคอร์ด สีเขียวเก่าผุ ที่ได้รับการซ่อมแซมเปลี่ยนล้อ (โดยสิงโตเปลี่ยนให้) ทำให้มันวิ่งไหว ทั้งๆที่มันควรหอบสลบไปตั้งแต่ถึงน้ำตก ไนแองกาล่าแล้ว (วิ่งไปในแองกาล่า ก่อนวิ่งลงฟลอลิด้า) เป็นการขับรถที่ไกลที่สุดในชีวิตเท่าที่เกิดมาเลยครับ
ปล. วันนี้กล้อมแกล้มเอาแค่นี้ก่อนนะ วันหลังมาว่าต่อ

ธันวาคม 22, 2549

งานปีใหม่ประจำปี

วันนี้ ตอนเย็น ที่บริษัทจะจัดงานปีใหม่
สถานที่จัดคือชั้น 30 ของอาคาร
ดีจัง ได้กินฟรีอีกละ :P
แต่สงสัยต้องขึ้นไปเขย่าไข่ด้วยแฮะ
(ไม่น่าหาเรื่องเลย)

ธันวาคม 21, 2549

ลูกสาวอึไม่ออก

น้องเฟย์สุดที่รักของผม อึไม่ออกครับ ท้องผูก ทำไงดี ให้ทานนมแม่ด้วยนะ ไม่ใช่นมผงอย่างเดียว เนี่ย คุณหมอที่รพ กรุงเทพ ให้ผสม นมญี่ปุ่น กับนมที่ใช้ (แพงกว่า) อย่างละครึ่งๆ ก็เพิ่งลองดู ไม่รู้จะช่วยปล่าว สงสารลูก อายุเพิ่งสองเดือนหนึ่งวัน ก็ต้องท้องผูก ไม่อึทุกวันเสียแล้ว T_T

ธันวาคม 20, 2549

นางฟ้า

นางฟ้า เปิดปีก แผ่ปีก ปกคลุม ผมยาว
บินร่อนลงมา สู่พื้นดิน ที่ผมเหยียบย่ำ
เธอยื่นมือให้ผม ผมคว้ามือเธอมาจับ
ลากมือเธอมากุมที่หัวใจ

ผมอยากให้เธอพาผมบินไปบนฟ้า
อยากให้เธอโอบกอดผม ไร้อาภรณ์ใด
ฟ้าเปลี่ยนแปลง เปิดทางสู่สวรรค์
เราโผบินขึ้นไปสู่สวรรค์
ความรักของผมกับนางฟ้า เปิดฉากขึ้นบนนั้น
และจบลงเมื่อเราสองคนไปถึงสวรรค์
และเธอพาผมลงมาสู่พื้นดินอีกครั้งอย่างปลอดภัย 

หนังเรื่องแรกที่ดูกับแฟน

จำได้ไหม ว่าคุณดูหนังเรื่องแรกกับแฟนคุณเรื่องอะไร
แฟนคนแรก แฟนคนที่สอง .. แฟนคนปัจจุบัน

กับแฟนคนแรก "Toy Story"
แฟนคนที่สอง (ภรรยา) "Titanic"

ใครจำเรื่องพวกนี้ได้ ผมคิดว่า เป็นคนความจำดี
และก็เป็นคนโรแมนติกดีนะครับ

หมั่นรักษาสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่เกี่ยวกับคู่ชีวิตของคุณ
กันเถอะครับ

ธันวาคม 19, 2549

มองไปบนนั้น

ผมได้ยินเสียงร้องเรียกจากปุยเมฆที่ลอยอยู่ข้างบนนั้น
เสียงที่ว่าเป็นเสียงของเธอ
ผมยกมือโบกไปมา ให้เธอรู้ว่าผมอยู่ที่นี่เสมอ
เธอมองลงมาจะเห็นผมเสมอ ผมเงยหน้ายิ้มให้กับท้องฟ้า

สายลมหน้าหนาวเดือนธันวาคม บอกผมว่า เธอสบายดี
ลมปะทะใบหน้า เสียงจอแจของรถยนต์บนถนน
ผมเดินเลียบทางเดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้สะพายเป้
ในหัวผมนึกถึงเธอ บนฟ้าไกล แสนไกล
ผมคิดถึงเธอตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เธอคือคนที่อยู่ในใจผมเสมอ และผมจะพบเธอได้
เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไป หรือเวลาที่สายลมพัดปะทะใบหน้า

เสียงเพรียกหาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ความเหงาที่เกิดจากภาพไม่ได้ปรากฎให้เห็นจริง
เรายังคงว่ายเวียนในกองทุกข์
ไฉนเลยจะเข้าใจถึงความสุขได้

ผมหลับตาลง หยุดเดิน ดึงหูฟังออกจากหู เอามือปาดน้ำตา
"เราไม่มีวันลืมเธอ"

ผมคิด...

ธันวาคม 18, 2549

ความทรงจำ...โปรเจค...หลักประกัน

ผมถูกมอบหมายให้ดูเรื่องใหม่
.................................................
วันนั้น จำได้ว่า ถูกเรียกไปประชุมเรื่อง
ระบบหลักประกัน หรือ คอลแลตเทอรอล
ไม่กี่วัน หลังจากเฟสสอง โกไลฟ ไป
ฝรั่งถูกเชิญมา ผมเข้าไปฟัง ฝรั่งอธิบาย
เขาพยายามทำให้ระบบมาตรฐาน มาประยุกต์
เพื่อลดจำนวนการสร้าง หรือคัสตอมไมซ์ลง
โดยพยายามจับนู่นผสมนี่เข้าด้วยกัน
ผม ตอนนั้น ยังใหม่อยู่ ก็ได้แต่งงๆ
ไม่ค่อยเข้าใจ สิ่งที่ฝรั่งพูด

แต่สรุปท้ายสุด เราไม่ใช่ระบบมาตฐานเดิม
แต่เราจะสร้างมันใหม่ทั้งหมด เรียกว่าสร้างทุกอย่าง
กันใหม่หมดเลย ตั้งแต่แบคจนฟรอนท์ (หน้าจอ)

ตามเทคนิคอลเสป๊ก ที่ได้มาเมื่อหลายปีก่อน
ก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานที่นี่อีก ผมออกแบบสร้าง
ฐานข้อมูลใหม่ สำหรับรองรับความต้องการของระบบ
ที่มีความสัมพันธ์แบบ เมนี่ ทู เมนี่
โดยการช่วยเหลือของน้องๆทีมโปรแกรมมิ่ง
ได้แก่ หนิง ภาคย์ (และน้องพงศ์ที่เข้ามาช่วยทีหลัง)
เราค่อยๆพัฒนาโปรเจคกันอย่างรีบเร่ง เพราะมีกำหนดการณ์
ชัดเจนตามแผน

จึงเป็นเรื่องปกติที่การทำงานของเรา เลิกงานกันเกือบเที่ยงคืน
เป็นการทำงานที่ดึงเอาชีวิตของพวกเราไปอย่างมาก
จำได้ว่า วันที่จะส่งระบบขึ้นทดสอบ คืนนั้นทั้งคืน ไม่ได้กลับบ้าน
หลับคาเก้าอี้เลย

อ้อ สิ่งที่ลืมไม่ได้เลย คือตอนทำงาน ผมเป็นคนประสานงาน
เพื่อนำระบบเก่ามาสร้าง คอยติดต่อ สอบถาม
และขอข้อมูลต่างๆ กับทางลูกค้า

เมื่อระบบเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง สิ่งต่อไปคือการคอนเวิรซข้อมูลเก่า
เข้ามาสู่ระบบ เพื่อสร้างข้อมูลใหม่ๆ

ปัญหาคือ การขึ้นระบบ จะไม่ทำแบบ บิ๊กแบง คือไม่เปลี่ยนทันที
ในวัน โกไลฟ์ เราจึงใช้วิธีการทำเป็น พาราเลล
หมายถึงว่า ให้ระบบเดิมยังทำงานอยู่ แต่จะมีการดึงข้อมูลจากระบบเดิม
เข้ามายังระบบใหม่ ด้วยวิธีการ อิมพอร์ตเข้ามาทุกวันเสาร์
โปรแกรมตัวอิมพอร์ต สร้างโดยมือโปรชาวอเมริกัน ชื่ออลัน (เก่งมาก)
โดยคนที่เขียนเทค เสป๊ก ให้กับชายแห่งตำนานผู้นั้น คือผมเอง
ผมได้รับมอบหมายแบบจรวดพุ่งปรี๊ด ไม่ตั้งตัว
หัวหน้าบอกว่า ตกลงใช้ไอเดียร์พาราเลลรันนะ ให้ผมทำเสปกด้วย
ผมก็ทำครับ และใช้เวลาไม่นาน ก็ได้โปรแกรมมา เรียกว่า แบทซิงค์

ยอมรับว่า การทดสอบแบทซิงค์ พบปัญหาและไม่พบปัญหา
จนบางปัญหา เราปล่อยให้ผ่านหลังโกไลฟ์จริงๆ แล้วมาแก้ทีหลัง
นับว่าการตรวจสอบซอฟต์แวร์นั้น ต้องละเอียดถี่ท้วนมากๆ
และคนทำควรรู้ว่า จะสร้างสภาพแวดล้อมอย่างไรให้สามารถ
ตรวจสอบทุกๆ กรณีได้ ซึ่งยากพอสมควรเลย แม้แต่คนที่เชี่ยวชาญ
ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมี "หลุด" นะครับ

หลังจากระบบขึ้นไปเป็นแบบพาราเลลแล้ว ยังมีปัญหาตามมา คือ
ข้อมูลที่ได้มาอยู่ในระบบใหม่จากการอิมพอร์ต กับข้อมูลที่เก็บจริง
ในระบบเดิม เมื่อเอกซแทรค ออกมาเพื่อนำไปใช้ต่อไป
มีค่าไม่เท่ากัน ต้องมีการแก้ไข เรียกว่า คลีนซิ่ง

เมนหลักในการคลีนซิ่ง มีผม ภาคย์ และพี่ไพรัช โดยมีหัวหน้าใหญ่เป็นผู้
ตามงานและให้ข้อคิดเห็นดีๆ ตลอดการทำงาน
จำได้ว่า ตอนช่วงคลีนซิ่งนั้น เป็นช่วงที่งานเริ่มเบา เพราะโปรเจค
ได้ขึ้นไปจนจะหมดแล้ว เรื่องหลักประกันนี่ ยังไม่เสร็จ เพราะยังพาราเลล
จึงทำให้ผม ภาคย์ มักทำงานกันต่อตอนที่เพื่อนๆที่ทำงานกลับกันแล้ว
มันเป็นความรู้สึกดีๆ เพราะงานถึงจะหนัก แต่เราเข้าใจว่าเราทำอะไร
มันคือคุณค่าของการทำงานครับ ได้แก้ไข ได้ช่วยเหลือ ได้จัดการ
จำได้ มีการซ่อมแซมระบบกันหลากหลายรูปแบบมากมาย
เรียกได้ว่า เจอมาเยอะ ลุ้นกันตลอด สนุกดีครับ

สิ่งที่ดีที่สุด ในที่สุดก็จบลงด้วยดี ผมคิดว่าผมภูมิใจกับมันมาก
ระบบนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นระบบที่ผมทำเองทั้งหมด ถ้าขาดแรง
กายและแรงใจของน้องๆ ที่ทำงานกันอย่างทุ่มเท มันคงไม่เสร็จลงด้วยดี
แต่ผมก็รู้สึกภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมออกแบบ ร่วมเขียนโปรแกรม(บ้าง)
ผมจึงรู้สึกว่า โชคดีที่ได้ทำโปรเจคหลักประกันนี้ แม้ว่าเวลาดีๆนั้น
มักจะผ่านไปเร็ว ตอนนี้ผมก็ได้แต่หวังว่า จะมีโอกาสได้ทำงานดีๆแบบนั้นอีก

ปล. เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ผมได้ร่วมงานด้วย พวกเขายังอยู่ในความทรงจำ นอกเหนือ
จาก
ที่กล่าวไปแล้ว มีดังนี้ครับ
ฝั่งลูกค้า
พี่นัน - เจ้าของระบบเดิม ที่ผมประสานงานด้วยตั้งแต่เริ่มต้นทำ ให้ความร่วมมือ
ดี
แม้บางทีจะไม่ค่อย แต่ก็สบายใจที่ได้ทำงานด้วยเสมอครับ
พี่แจง - เจ้าของระบบเดิมที่มาดูแลแทนพี่นัน เพราะวันที่พาราเลล พี่นันก็ลาออก
:(
พี่เอก - ขาดไม่ได้เลยลูกค้าฝั่ง user ที่ให้ความร่วมมือเสมอๆ แถมยังส่งรูปดีๆ
มาให้ดู
(เพราะผมดันส่งไปให้ก่อน เนื่องจากส่งให้ผิดคน ทำให้พี่เค้านึกว่าผมชอบ Haha)
ฝั่งบริษัท
น้องๆ ที่ถนนศรี - ที่ให้ความร่วมมือ ตอนเกิดปัญหาเรื่องแบทซิงค์ และการคลี
นซิ่ง
พี่หลิ่ม พี่อุ๊ - ช่วยประสานงาน ช่วยทดสอบ ช่วย Fight ช่วยคิดวิธีทาง business
พี่จ๊วต - ผู้ให้ความสนับสนุนเสมอมา

ธันวาคม 15, 2549

เสียงแห่งรัก

ได้ยินเสียงเพลง ไม่เบานัก แต่ไม่ดัง
ผมรู้ว่าสียงที่ว่าทำให้เห็นภาพอดีต
ที่รู้เพราะผมกำลังเห็น
ภาพเดิมนั่นเอง เธอ คนเดิม ที่เดิม
เสียงเพลงย้ำ วันที่เธอบอกเลิกกับผม

"เราไม่ชอบคนไม่เอาไหน เราอยากได้คนที่ดีกว่านี้"
เหตุผลสำคัญเลย สำหรับการบอกเลิก
ผมเสียใจไหม ไม่เสียใจ แต่ผมเจ็บใจ
ถ้าผมไม่เอาไหน เธอทำไมเลือกผมในตอนนั้น

"เรารักเธอนะ" เธอบอกผมวันที่เราคบกัน

เสียงเพลงจบลง ฝนก็ตกพอดี
ผมเดินออกไปตากฝน
ฝนเดือนธันวาคม มีด้วยหรือ
ไม่รู้เหมือนกัน ..รู้แต่ว่า ผมสบายใจแล้ว

ธันวาคม 11, 2549

ธันวาคม 08, 2549

mp3 player

เนื่องจากตอนนี้เครื่องเล่น mp3 จิ๋ว ที่ผมใช้ประจำ
iRivier iFP799 ให้ลูกสาวฟังกล่อมนอน ก็เลยไม่มีเครื่องใช้
ก็คิดว่าอาจซื้อใหม่อีกซักเครื่อง เอาไว้ฟังเวลาไปทำงาน
ก็หาๆข้อมูลดูครับ ไปดู ranking จากเวบ zdnet.com

http://reviews.cnet.com/Music/2001-6450_7-0.html?tag=more


ว้าว

Zune vs. iPOD vs. iRiver vs. Sony vs. etc....

YesAsia.com ช่วงนี้ Ship ฟรี ถ้า Order $25 Up ครับ

ข่าวดีสำหรับคนรัก DVD ครับ ตอนนี้เวบขายหนัง DVD
ของฮ่องกง ลดราคาแหลก สูงถึง 85% แถม
ถ้าคุณ shop ถึง $25 (25 ดอลล่ายูเอส ประมาณ 900 กว่าบาท)
คุณจะไม่เสียค่าส่ง ผมคิดว่าแฟร์ เลยครับ
ถ้าใครสนใจซื้อหนังที่หาไม่ได้ในไทย
ลองเข้าไปดูได้ครับ อย่าง Happy Together 10 Anniversary Version
ราคาเกือบ 5 พัน ก็มีขาย (สำหรับแฟนๆ เฮียหว่อง)

ตามนั้นเน้อ

ธันวาคม 07, 2549

TOGETHER to-get-her เพื่อให้ได้เธอมาอยู่ด้วยกัน

สายลมอ่อน หน้าหนาว เดือนธันวาคม ท้องฟ้าครึ้มคล้ำ
คล้ายฝนหน้าหนาวโปรยปราย หนาวเปียกชื้น หนาวเข้ากระดูก
หลายปีแล้วที่ผมไม่ได้พบเธอ สาวผมยาว ที่ผมบอกรักเธอ
ในวันก่อนวันที่เธอจะแต่งงานกับแฟนของเธอ ใช่...ผมอกหัก
แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก วันแต่งงานของเธอ คือวันที่แฟนเธอเสียชีวิต

....
ผมไม่ได้พบเธออีก ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงไม่กล้าพบหน้าเธอ
ทั้งๆที่เวลานั้น เป็นเวลาที่เธอต้องการใครที่ไว้ใจ อยู่ข้างเธอได้
ผมรู้สึกว่า ถ้าผมเข้าไปตอนนั้น เธอจะคิดว่าผมฉวยโอกาส
และตอนนั้นเธอคงเศร้าเกินกว่าจะรักใครได้
และ..เธอก็หายไปจากชีวิตผม

....

วันนี้ ผมพบเธอโดยบังเอิญอีกครั้งบนถนนสีลม
เธอผอมลงเล็กน้อย ผมที่เคยยาวตอนนั้น ตอนนี้สั้นเหมือนทอมบอย
เธอดูเป็นสาวมั่น ไม่มีแววตาเศร้าสร้อยใดๆให้เห็น
คล้ายจะกล้าแต่ก็ไม่กล้า ผมไม่เข้าไปทัก กลับหลบเข้าห้างแถวนั้นแทน

Together นั้น จะเกิด ถ้าเรารู้วิธี to get her...

ใช่แล้ว ตอนนี้เธอคงแต่งงานแล้ว
ใช่แล้ว ผมคงไม่มีหวัง

แต่ช้าก่อน เธอเดินเข้ามาในห้างด้วย อ๊ะ เธอตรงเข้ามาหาผม

"จะหลบเราอีกนานแค่ไหน" เธอพูดกับผม
"...เปล่านะ..คือ.." ผมกล้อมแกล้มตอบ
"เธอคิดอะไรของเธอ" เธอพูดกับผม
"...เราแค่.. ไม่..ไม่รู้สิ"

ผมมองหน้าเธอชัดๆ แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาตรงนั้น
เธอจับมือผมไว้แล้วบอกว่า "เราจะแต่งงานกับเธอ"
ผม....ไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้ม
.......................................................................

วิวัฒนาการ vdo chat room ดีหรือไม่ดี

ตอนเรียนอยู่อเมริกา มี high speed internet ใช้
เรียกว่า cable modem คือ modem จะเอาสัญญาณจาก
Cable TV ที่เรารับ ความเร็วค่อนข้างสูงดีทีเดียว
ตอนนั้น ผู้ที่ทำให้วงการ vdo chat room ฮิต คือ
Yahoo messenger
เป็นโปรแกรมที่ดังแรกๆเลยก็ว่าได้
ผมชอบเข้าไปเล่นห้องที่มีคนไทยเล่น
เพราะจะได้ยินเสียงภาษาไทยด้วย
แล้วก็บางทีจะมีสาวๆ มาเปิดกล้องส่องให้ดู
คึกคักมักๆ

ตอนที่กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ high speed เพิ่งเริ่มใช้ในไทย
ก็เลิกเล่นอะไรพวกนี้ไปเลย เพราะยังไม่ได้ติด และงานยุ่งๆด้วย
แต่ตอนนี้ติด high speed แล้ว ก็เลยมีกิจกรรมเก่าๆกลับมา
แต่ด้วยโปรแกรมใหม่ (เลิกใช้ yahoo messenger ละ)
มันชื่อว่า "camfrog" เป็นอะไรที่ โอโห..
มากกว่า yahoo ซะอีก สาวๆสมัยนี้ช่างกล้า

เฮ้อ....... ก็เลยไม่รู้ว่าความเร็วนี่
มันส่งผลดีหรือผลเสีย
เพราะถ้าเป็นแต่ก่อนที่ต้องใช้โมเด็มโทรศัพท์
การเล่น vdo chat room คงไม่เกิดแน่ๆ เนื่องจากภาพคงกระตุกแหลก
แต่เดี๋ยวนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว

น่าสนใจนะครับ เรื่องนี้ ต้องดูกันต่อไป... ว่าจะจบลงยังไง

My 2nd Honeymoon last year Part 1

6 ธันวาคม 2005

ทำไมต้องฮ่องกง?

จะว่าไป ก็เพราะปีนี้หุยได้ตั๋วเครื่องบินฟรี ไปกลับ ไทย ฮ่องกง 1 ที่นั่ง จากการสะสมระยะทางบิน ของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ทำให้เราตัดสินใจจะไปเที่ยวฮ่องกง กึ่งฮันนีมูนรอบสอง ช่วงเดือนธันวาคม โดยกะจะไปแบบเที่ยวเอง ไม่พึ่งไกด์ หรือทัวร์ แต่พึ่งหนังสือสอง สามเล่ม ที่แนะนำการท่องเที่ยวฮ่องกง และแผ่นพับแผนที่ฮ่องกง และเอกสารเส้นทางการเดินรถต่างๆ

หมายกำหนดการคือ เราจะออกเดินทางกันวันที่ 6 ธันวาคม ขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง รอบ 11:05 น. สายการบิน คาเธ่ แปซิฟิก (จริงๆหุยได้ตั๋วเพราะ Japan Airline แต่ Japan Airline ไม่มีเที่ยวบินที่ไปฮ่องกง จึงให้ไปกับสายการบินคาเธ่แทน) และกลับบ้าน วันที่ 11 ธันวาคม รอบ 9:30 น. โดยพักทุกคืน ที่ Guest House ญาติของเพื่อนน้องหุย ที่ย่านจิมซาจุ่ย ฝั่งเกาลูน ในราคาที่ไม่แพงเกินไปนัก (หรือเปล่า) ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้ง ไม่ไกล มงก๊ก และ ท่าเรือ สตาร์เฟอรี่ ที่จะพาเราไปฝั่งฮ่องกง ได้อย่างง่ายดาย

เดินทางไปดอนเมืองด้วยรถแท็กซี่

ตอนเช้า ฝากพี่หน่อยเรียกแท็กซี่เข้ามาให้ก่อนเข้ามาบ้าน จะได้ไม่ต้องเดินไปปากซอยเอง และแล้วตอนประมาณ 8 โมงครึ่ง รถแท็กซี่มิเตอร์ก็มาถึงหน้าบ้าน ขนของขึ้นท้ายรถเสร็จ รถก็บึ่งไปบนถนนที่รถไม่ค่อยติดนัก ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลาประมาณ 9 โมงเศษ แต่เราเอากระเป๋าเข้าไป check ไม่ได้ในทันที เพราะยังเร็วเกิน เลยไปนั่งจิบกาแฟ บวกอาหารเช้าเล็กๆ ที่ Burger King สาขาสนามบิน ที่สนนราคาแพงกว่าปกติพอสมควร (ทำไม ?!!!!!???) หุยสั่งกาแฟเย็น ผมสั่งกาแฟร้อนบวก แฮชบราวน์ มันทอดแผ่น (ที่มีขายแต่ที่ Burger King ใช่ไหม)

จากนั้นเราก็เข้าไปในสนามบิน ผมเลยถือโอกาสเดินเที่ยวรอบๆ ที่ขายของ Duty Free ก็เดินเล่นตั้งแต่ต้นยันปลาย ได้เห็นร้านรวง ที่เปิดให้บริการกันเป็นที่เรียบร้อย ราคาของที่ขายใน Duty Free จัดได้ว่าแพงนะครับ ไม่ใช่ถูก อย่างชอคโกแลตสวิตซ์ ที่หุยซื้อมาตอนไปเที่ยวกับที่ทำงาน ได้ราคา 400 กว่าบาท ในสนามบินขายอยู่ 800 บาท ยังไงถึงไม่เสีย Duty แต่ก็เสียค่า Shipping อยู่ดีละมั้ง :(

หลังจากเดินเล่นจนเวลาใกล้หมด เราสองคนก็บึ่งไปที่เกตขึ้นเครื่องบิน ที่จะพาเราไปสู่ประเทศฮ่องกงเสียที เข้าไปนั่งรอที่เก้าอี้หน้าเกตนั้นประมาณสิบกว่านาทีเองมั้ง ก็ขึ้นเครื่องได้

บนเครื่องบินสู่มหานครฮ่องกง

บนเครื่อง หุยนั่งติดหน้าต่าง ผมนั่งตรงกลาง เป็นที่นั่งแบบสามคน คนที่นั่งข้างๆผม เป็นผู้ชาย น่าจะเป็นชาวจีน เพราะอ่านหนังสือพิมพ์จีนใหญ่เลยตั้งแต่ขึ้นเครื่อง ดูจริงจังมาก แถมนั่งเบียดหน่อยๆ ดีที่ตัวไม่ใหญ่มาก เลยไม่อึดอัดนัก (แต่ถ้าให้ดี อยากนั่งสองคนมากกว่านะ)

บนเครื่องบินมีทีวีติดอยู่ที่เก้าอี้นั่งคนข้างหน้า แต่ไม่มีหนังฉายนะครับ มีแต่รายการทีวี ประมาณละคร และพวกข่าว อ่อ มีการ์ตูนด้วย คงเพราะระยะเวลาในการเดินทาง เพียงสองชั่วโมงเท่านั้นก็ถึง เลยไม่มีหนังยาวให้ดู ผมนั่งอ่านหนังสือของปราบดา เล่มใหม่ รวมเรื่องสั้น “ความสะอาดของผู้ตาย” จบไปสองตอนมั้ง แล้วก็หลับ เพราะเมื่อคืนก่อนเดินทาง นอนไม่มากนัก แถมต้องตื่นแต่เช้าเตรียมตัวเดินทางอีก เบาะในเครื่องจึงเป็นเสมือนเตียงนอนไม่สบายให้ผมและหุยพักผ่อนก่อนตะลุยประเทศฮ่องกง

ก้าวแรกสู่ฮ่องกง

“ตื่นๆ ถึงฮ่องกงแล้วจ้า!” และแล้วก็มาถึงสนามบิน Chek Lap Kok ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะลันเตา ฮ่องกงมีเกาะน้อยใหญ่มากมายหลายเกาะ แต่ที่สำคัญ ๆ คือ ฝั่งเกาลูน (ติดแผ่นดินใหญ่) ฝั่งเกาะฮ่องกง และ ฝั่งเกาะลันเตาที่ตั้งสนามบินแห่งนี้ ซึ่งค่อนข้างทันสมัยพอสมควรเลยครับ

เมื่อก้าวขาลงจากเครื่อง สิ่งแรกที่สัมผัสคืออากาศที่หนาวเย็นอย่างมาก พวกเราเตรียมเสื้อหนาวกันมาน้อย เนื่องจากดูพยากรณ์อากาศในเวบ yahoo แล้วพบว่า ช่วงของอุณหภูมิ จะอยู่ประมาณ 10 – 21 องศา ก็เลยชะล่าใจ ว่าคงไม่หนาวเหน็บอะไร แต่ที่ไหนได้ พอไปถึงก็รู้ว่า มันไม่ใช่แค่เย็นสบายแล้วสิ มันกลายเป็นหนาวเย็นซะแล้ว

เวลาของฮ่องกงเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง เราจึงมาถึงฮ่องกงเวลาประมาณบ่ายสามโมงเศษ เดินเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ใช้เวลาไม่นานนักก็เข้าไปได้ มีคนไทยเข้าแถวต่อจากพวกเราด้วยตอนอยู่ที่ด่านตรวจ (ได้ยินเขาคุยกัน เป็นผู้หญิงที่ดูมีอายุหน่อยๆ)

เดินเข้าไปแล้ว มีบู้ตครับทั่น เป็นบู้ตเกี่ยวกับการซื้อตั๋วเดินรถ ผมก็เลยซื้อบัตร Octopus Card ให้ตัวเองหนึ่งใบ และ Add เงินให้บัตรที่หุยได้จากน้องเมย์อีกหนึ่งใบ (คนละ 100$ HK)

บัตร Octopus Card คืออะไร

บัตร Octopus คือบัตรแถบแม่เหล็ก สำหรับเก็บข้อมูลเงินในบัตร บัตรนี้เวลาใช้ ก็เหมือนบัตรรถไฟฟ้าใต้ดินของไทยแหล่ะครับ คือเอาไปพาดกับที่วาง ก็จะอ่านแม่เหล็กดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ที่บัตร แต่สิ่งที่เหนือกว่าไทยคือ บัตรนี้ใช้ขึ้นรถไฟ MTR, KCR, รถบัสต่างๆ, เรือสตาร์เฟอรี่ ฯลฯ มากมาย รวมทั้งการซื้อของก็ใช้บัตรนี้แทนบัตรเงินสดได้เลยในร้านอย่าง 7Eleven แต่ก็ต้องระวัง ถ้าบังเอิญทำตกหาย ก็คือคุณทำเงินหายตามมูลค่าบัตรนั่นแล ดังนั้น เมื่อมีแล้วต้องเก็บรักษาดีๆหน่อยครับ อ้อ ต้องเสียค่ามัดจำบัตรด้วย 50 เหรียญ จะได้คืนเมื่อเอาบัตรไป Refund ภายในระยะเวลาที่กำหนด

เดินทางจากสนามบิน Chek Lap Kok ไปสู่ห้องพัก

การเดินทางจากสนามบินไปยังที่พักย่านถนนนาธาน ใกล้ๆ ถนน Temple Market พวกเราเลือกที่จะใช้บริการรถบัส สาย A21 เนื่องจากราคาตั๋วที่น่าจะถูกกว่าไปโดยรถไฟ Airport Express ตอนแรกก็ไปขึ้นไม่ถูกเหมือนกัน เพราะใหม่มาก ไม่รู้ว่าวิธีขึ้นรถบัสของฮ่องกง ต้องทำอย่างไรบ้าง เลยถามตำรวจที่สนามบิน พี่แกก็ชี้ไปที่ Exit แล้วบอกว่าให้ออกไป แล้วเลี้ยวขวา ก็จะมีท่ารอรถ

ผมกับหุย ลากกระเป๋าเสื้อผ้า สะพายเป้กันพะรุงพะรัง เพื่อไปรอรถ รอไม่ถึงนาที รถมาพอดี เราก็เลยขึ้นไป รถบัสที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นแบบสองชั้น คันนี้ก็เช่นกัน และเนื่องจากเป็นรถสำหรับสนามบิน จึงมีชั้นวางกระเป๋าเดินทางพิเศษให้ด้วย ไม่ใช่มีแค่ที่นั่งผู้โดยสารเท่านั้น

การเดินทางเหมือนจะยาวนาน เราสองคนก็หลับๆตื่นๆ ไปตลอด แต่พอใกล้จะถึงที่หมาย ซึ่งคนที่ Information สนามบิน ให้ข้อมูลว่า ให้ลงป้าย 10 เราก็ตื่น และคอยอ่านรายละเอียดของป้ายลงที่หน้าจอของรถ (ในรถบัส มีป้ายบอกตลอดว่า ป้ายต่อไปคือเบอร์อะไร เป็นป้ายของถนนอะไร) โดยใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานเหมือนกันครับ น่าจะประมาณชั่วโมงนึง

เดินหาที่พัก กว่าจะเจอ...

เรามาลงป้ายแถวๆหน้าโรงแรม Majestic บนถนน นาธาน พวกเราก็เดินตามแผนที่ที่น้องเมย์เขียนให้ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตึกที่ตั้งของ Guest House ที่ว่า จนกระทั่งเหลือบไปเห็นป้ายเล็กๆ เย่ เลยเดินเข้าไป และกดไปชั้น 14 ขึ้นไปถึงก็ไปกดออด เจ้าของบ้านชื่อคุณวันชัย หน้าตายิ้มตลอดเหมือนอาแปะ มีอายุ พูดไทยได้ชัดเจนดีครับ แต่น่าจะพูดภาษาฮ่องกงได้ดีกว่าด้วย เพราะภรรยาเป็นคนฮ่องกง เราก็แนะนำตัวกัน ทางเขาดูเหมือนจะทราบก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีพี่สาวน้องเมย์มาพัก ราคาไม่ได้ต่อรองเลย คิดคืนละ 300 เหรียญ (จริงๆ พวกเราน่าจะขอลดหน่อย เพราะเอาน้ำพริกมาให้จากเมืองไทยด้วยนา แม่หุยฝากมาให้ เพราะน้องเมย์ ไปอาศัยอยู่กับคุณ(ลุง)วันชัย เมื่อเดือนตุลา ประมาณสองอาทิตย์ กับเพื่อน ซึ่งเป็นญาติ กับเพื่อนน้องเมย์)

ตกลงเราจ่ายไปเลย 5 คืนครับ 1500 เหรียญเหนาะๆ ไปซะแล้ว แต่ยังเอากระเป๋าเข้าไปเก็บไม่ได้ เพราะยังมีคนพัก ซึ่งจะออกไปวันนี้ พวกเราก็เลยฝากกระเป๋าไว้ แล้วลงไปเดินข้างล่าง ซึ่งท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มแล้ว

เปิดประตูเข้าสู่ห้าง Harbour City เดินช๊อปวันแรกก็ได้ของแว้ว

เราเดินครับ เดินไปเรื่อยๆ บนถนนนาธาน ซึ่งคราคั่งไปด้วยผู้คนที่มีให้เห็นตลอดทางเดิน แม้เวลาประมาณหกโมงเย็นจะดูไม่ค่อยดึกมากมาย แต่ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มแล้ว สมเป็นฤดูหนาวของที่นี่ ร้านรวง มีทั้งที่เป็น Brand Name และไม่เป็น Brand Name ให้เห็นตลอดทางเดิน รวมถึงร้านขายลูกชิ้นทอด ร้านขายอาหาร หรือแม้แต่รถเข็นขายของตามทาง

เรากางแผนที่หาที่ตั้งของห้างใหญ่ที่มีชื่อเสียงของฮ่องกง ฮาร์เบอร์ซิตี้ เดินฝ่าความหนาวไปจนถึงห้าง ผมกับหุยก็เข้าไปเดินมั่วนิ่ม เพื่อหาร้านแรกที่ผมจะไป นั่นคือ Toy R Us อันโด่งดัง เมื่อเข้าไปในห้างแล้ว ความรู้สึกของผมคือ ไม่เห็นใหญ่เลย เพราะผมเคยเดินที่อเมริกามาหลายสาขา และพบว่ามันใหญ่กว่าที่ฮ่องกง ก็เลยคิดว่านี่หรือที่ในหนังสือแนะนำบอกว่าใหญ่ :(

แต่ถึงกระนั้น เราก็ได้ของกลับติดมือ นั่งคือของที่พี่แจง KCS สั่งก่อนผมออกเดินทาง หนังสือนิทานรถไฟ Thomas

ระหว่างทางกลับจากร้าน Toy มีมุมสวยๆให้ชักภาพกันตามเคย

ถัดออกมาจากร้าน Toy ไม่มาก มีต้น Christmas ให้ที่ห้าง Harbour City จัดไว้ให้คนถ่ายรูปกัน พวกเราก็ถือโอกาสขอให้คู่รักชาวจีนถ่ายให้เรา (แลกกันถ่าย)
ต่อด้วย HMV และ เอสปรี

ออกจาก Harbour City ผมกับหุยก็เดินไปร้านขายดีวีดี ซีดี ชื่อดังของโลกอย่าง HMV ซึ่งมีสาขาสามชั้นอยู่แถวๆนั้น เข้าไปแล้วติดลมมาก ที่นี่เปิดถึง 5 ทุ่มสี่สิบห้าแน่ะครับ หลังจากได้ดีวีดีมาหลายแผ่น เป้าหมายต่อไปคือร้านเอสปรี เพื่อดูเสื้อผ้า เอาแบบกันหนาวได้ แต่ไม่ได้อะไรติดมือ

อาหารค่ำมื้อแรกที่ฮ่องกง

เมื่อเริ่มรู้สึกหิวแล้ว เราสองคนก็เลยหาอาหารเย็นทาน ตอนแรกเราก็เข้า 7Eleven ได้น้ำมา จากนั้นหุยอยากเข้าร้านที่เป็น Local มากๆ ไม่อยากเข้าพวก Fast Food หรืออาหารที่มีขายทั่วไปในไทย เราเลยเดินลุยไปตามซอย และได้เห็นป้ายอาหารอยู่หน้าร้าน วิธีการคือ เราถ่ายรูปเหล่านี้ไปให้คนขายดู แล้วบอกว่าจะสั่ง ใครไปต่างบ้านต่างเมืองแล้วพูดภาษาเขาไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้กันได้ตามสะดวกครับ

อาหารเยอะมากครับ ข้าวจานใหญ่ รสชาติดีเยี่ยมจริงๆ หมดเงินไป 2 จาน 66 $HK (คูณ 5.36) อิ่มแน่น พร้อมลุยลมหนาวกลับที่พัก โดยก่อนกลับเข้าที่พัก หุยได้เสื้อเสวตเตอร์ สีฟ้ายีน สวย มีขนสัตว์ที่ปก ราคา 200 กว่าเหรียญ (ลดแล้ว) ติดมือกลับมาด้วย ก่อนเวลาร้านปิดนิดหน่อย (เรากลับกันประมาณ 5 ทุ่ม)

เข้าห้องพัก

หลังจากเหน็ดเหนื่อย อิ่ม หนาว จากการเดินดุ่มๆ ตลอดทางจากร้านค้าและร้านอาหารย่านจิมซาจุ่ย พวกเราก็ได้ฤกษ์เข้าบ้านพักกัน อาคารที่ตั้งคือ Kim Tak Apartment ชั้น 14 .. ห้องเล็กประติ๋วราคาคืนนึงพันห้า ก็ตกเป็นของพวกเราทันที .. แล้วพวกเราก็จัดกระเป๋า เก็บข้าวของ อาบน้ำอาบท่า นอนพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องไปลุยต่ออีกวัน

7 ธันวาคม 2005

เกาลูนพาร์ค

เนื่องเพราะเพลียจัดจากเมื่อคืน พวกเราเลยตื่นไม่เช้าเท่าไหร่ ออกจากบ้านพัก ลงลิฟต์ เลี้ยวซ้าย เดินๆ แล้วข้ามถนน ไปอีกฝั่ง (ฝั่งนี้จะมีสวนสาธารณะ Kowloon Park ตั้งอยู่) และผ่านร้านขนมปังยามาซากิ แบบเดียวกับบ้านเรา ผมกับหุยเลยซื้อขนมปัง กับกาแฟกระป๋องไว้ลองท้อง แล้วเดินมานั่งทานกันที่หน้าบริเวณสวนสาธารณะเกาลูปาร์ค นั่นแหล่ะ

หลังจากเสร็จสิ้นบริโภค พวกเราก็เดินกันต่อ และเหลือบไปเห็นทางเดินขึ้นไปที่สวน Kowloon Park ก็เลยขึ้นบันไดเข้าไปในนั้นและ ถ่ายรูปมาอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินทางไปท่าเรือ Star Ferry กันต่อ

เดินทางข้ามฝั่งจากเกาลูนไปสู่เกาะฮ่องกง ด้วยเรือชื่อดาว (สตาร์เฟอรี่)

เรือสตาร์เฟอรี่ เสียค่าโดยสารข้ามฝั่ง ประมาณ 2 เหรียญ เป็นเรือที่ใช้ข้ามฝั่งเกาลูนกับฝั่งเกาะฮ่องกง ตรงทางเข้าท่าเรือ อยู่ติดๆกับทางเข้าห้าง Harbour City ผมจึงถ่ายรูปเป็นที่ระลึกบริเวณนั้นก่อนจะตีตั๋วข้ามฟาก (อารมณ์ประมาณ ท่าพระจันทร์ ข้ามศิริราช กับ ธรรมศาสตร์เลยครับ)

เมื่อเข้ามานั่งในเรือแล้ว ก็ได้เห็นถึงบรรยากาศ วิวทะเล ที่ประกอบด้วยตึกสูงๆ มากมาย คนบนเรือ ไม่แน่น เพราะเป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวบางตา แต่จะมีคนฮ่องกงบ้าง ให้เห็น สังเกตได้ว่าใครเป็นนักท่องเที่ยว ก็จะชักกล้องถ่ายรูปมาถ่ายกันแช๊ะๆ (รวมทั้งผมและหุย)

เดินทางตามหนังสือท่องเที่ยว ไป Stanley Market โดยนั่งรถบัส ขึ้นที่สถานี Central ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือเท่าไหร่ แต่เนื่องจากมือใหม่ พวกเราเลยเดินไปเดินมา ขึ้นๆ ลงๆ สถานีรถไฟใต้ดิน MTR อยู่พักใหญ่ กว่าจะหาที่ขึ้นรถบัสพบ

ใจจริง ตอนแรกเรากะจะไปนมัสการ วัดเจ้าแม่กวนอิม ก่อน ถึงจะไป Stanley Market แต่เนื่องจาก เมื่อถึงป้ายรถบัส สำหรับป้าย Repulse Bay ที่ตั้งวัด พวกเราดันไม่ลง (เพราะไม่แน่ใจว่าใช่ป่าว) ทำให้นั่งเลย ก็เลยเอาวะ ไป Stanley Market ก่อนก็ได้ แล้วก็ตามเคย ชักรูปมาฝากอีกตามเคยครับ

หลังจากเดินชมตลาดจนหมดมุข พวกเราไม่ได้ของเลย เพราะเหมือนของขายในประตูน้ำ ในหนังสือบอกว่า ที่นี่เป็นที่อยู่ของชาวต่างชาติ เราจึงเห็นพวกฝรั่งมาเดินกันพอสมควร มีร้านขายกาแฟแฟรนไชน์ เดอเลอฟร้อง ด้วยครับ แถบๆนั้น พวกเราเดินมั่วไปมา จนไปถึงห้าง Stanley Plaza ซึ่งเป็นเวลาบ่ายๆ ก็เลยหาอะไรกินกัน

ในหนังสือเขียนถึงอาหารใน McDonald ฮ่องกง ว่ามีที่ไม่มีขายในไทย เราก็เลยไปลองชิมกันดู ตามรูปประกอบข้างล่าง

Repulse Bay ที่ตั้งวัดเจ้าแม่กวนอิม

หลังจากเดินเที่ยวใน Stanley Plaza ซักพักใหญ่ พวกเราก็ไปต่อรถบัสเพื่อเดินทางกลับไปทาง Repulse Bay ที่ตั้งวัดเจ้าแม่กวนอิมตามหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวฮ่องกงที่เราซื้อมา

ลงจากป้ายรถเมล์ มีทางเดินลงหาด วัดจะอยู่ริมทะเล เพราะแต่ก่อน เป็นวัดที่ชาวบ้านยึดเหนี่ยวใจในการออกทะเล ไม่ให้เกิดอันตราย
เราเดินลงมาถ่ายรูปริมชายหาดกันก่อน แล้วจึงเดินเรียบทางเดินไปยังวัดเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งตั้งหันหน้าเข้าสู่ทะเล ดูน่าเคารพสักการะ ด้วยรูปปั้นองค์ใหญ่ของเจ้าแม่ ที่ดูเปี่ยมเมตตา ทำให้มีคนมาสักการะล้นหลามเนืองๆ แม้ว่าวันที่พวกเรามาเยี่ยมชม เป็นวันธรรมดา

นักท่องเที่ยวที่พบในวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน ที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนฮ่องกง (คนฮ่องกง คงไม่มาเที่ยวสถานที่แบบนี้บ่อยนักหรอก เพราะเป็นบ้านเมืองตัวเองน่ะ) นอกจากนี้ก็มีคนไทยปะปนอยู่ด้วย ได้ยินเสียงคุยกัน

จึงอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปกันมาหลายใบเลยครับ

เดินทางไปสู่ Causeway Bay

หลังจากเดินถ่ายรูป และไหว้สักกาะเจ้าแม่กวนอิมเสร็จ พวกเราก็เดินขึ้นไปยืนรอรถบัส ที่จะพาเรากลับไปสถานี Central เพื่อจะต่อสายรถคันใหม่ไปเที่ยว ย่าน Causeway Bay ระหว่างรอ มีกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นสามคน น่าจะเรียนมัธยมปลาย หรือมหาลัยปีแรกๆ เดินมารอเหมือนกัน และแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งก็หยิบบุหรี่ขึ้นจุด พร้อมพ่นควันอย่างสบายอารมณ์ไม่สะทกสะท้าน สภาพของฮ่องกงทุกวันนี้ คลุ้งควันบุหรี่ไปทั่วทุกแห่ง โดยเฉพาะในร้านอาหาร ซึ่งเปิดแอร์ ! เป็นอะไรที่ผมว่า ฮ่องกงยังล้าหลังประเทศไทยอยู่นะครับ แม้ความเจริญทางด้านวัตถุ สิ่งก่อสร้าง เทคโนโลยี จะเหนือชั้นกว่าไทยมาก แต่ในเรื่องการเปิดรับวัฒนธรรม สิงห์อมควันของเขา อย่างไม่ค่อยจำกัดจำเขียดแบบนี้ ทำให้ผมมองว่ามันยังต่ำกว่าเมืองไทยมากๆเลย สังเกตได้ว่า ในรายการทีวี ดาราจะสูบบุหรี่กันได้อย่างสบายอารมณ์ หลายๆฉาก โดยไม่มีการเซ็นเซ่อร์เหมือนบ้านเราด้วย

แม้แต่ตอนไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม กลิ่นบุหรี่ก็ยังลอยมารบกวนจิตใจผมและหุยตลอดเวลา เหมือนเมืองฮ่องกง (และคนจีน) กำลังซึมซับวัฒนธรรมนรกนี้อย่างสบายๆ เพราะมันเป็นเม็ดเงินมหาศาลกับการขายสิ่งเสพติดที่ไม่รุนแรง แต่ค่อยๆทำลาย ให้กับคนจีนจำนวนมาก ใช่ครับ ถ้าไม่ทำอะไรให้ขายได้ต่อเนื่องกับคนปริมาณมหาศาลก็คงเป็นการเสียโอกาสเอาเงินเข้ากระเป๋าอย่างน่าเสียดายละมั้ง

เรารอ ร้อ รอ นานเชียว เกือบชั่วโมง ไม่มีรถสายที่เราจะไป เราเลยตัดสินใจ ทะยานขึ้นบนรถบัสท้องถิ่น ที่เขียนป้ายปลายทางว่า Causeway Bay ซะเลย โดยสุ่มทางเดินเอง ว่ายังไงก็คงไปลง Causeway Bay แหล่ะน่า ถ้ายังรอสายที่ตั้งใจ ฟ้าคงมืดพอดีกว่ารถจะมาจอด (เห็นป้ายบอกว่า มาทุกๆ 40 นาทีเชียว แต่รอเกือบจะชั่วโมงยังไม่เห็นแวว)

รถรางที่รัก

หลังจากลงรถบัสที่พาเรามาจาก Repulse Bay ที่ตั้งวัดเจ้าแม่กวนอิม หุยกับผม เดินจูงมือกันเล่นกันไปทั่วๆ ย่านขายของ Brand Name อย่าง Causeway Bay ที่ไม่ค่อยมีอะไรดึงดูดพวกเรานัก (เพราะมันแพง)

ผมไม่เคยขึ้นรถรางที่ฮ่องกงมาก่อน เพราะผมไม่เคยมาเที่ยวฮ่องกง (แล้วมันจะเคยได้ไงฟะ :P) นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถรางครับ รถรางที่ว่าวิ่งกันว่อน อยู่บนรางกลางถนนฝั่งเกาะฮ่องกงเท่านั้น (ฝั่งเกาลูนหาดูไม่ได้ครับ) สนนราคาแสนถูก สองเหรียญกว่าๆเอง (หรือสองเหรียญเต็มก็ไม่แน่ใจ) โดยก่อนที่จะขึ้นรถราง เราต้องข้ามถนนไปขึ้นที่เกาะกลางถนนเสียก่อนจึงจะขึ้นได้ เพราะรางของรถ จะอยู่ตรงกลางถนน ด้านบนมองขึ้นไปจะเห็นสายระโยงระยาง สำหรับพารถรางให้แล่นไปตามทาง คล้าย กับรถรางที่ซานฟรานซิสโก ลักษณะของรถรางจะเป็นสีเขียวๆ วิ่งเอื่อยๆ คนโดยสารแน่นบ้าง โล่งบ้าง แล้วแต่คัน

เป้าหมายของรถรางที่เรานั่ง คือกลับไปที่ท่าเรือ สตาแฟรี่

ธันวาคม 06, 2549

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

เสียงทะเลาะกันของสองฝ่าย
ต่างยืนยันว่าตัวเองถูก
คนที่สามยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่พูดอะไร
ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า
สองฝ่ายที่ทะเลาะกันยังคงทะเลาะกัน
ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด

คนที่สามเริ่มเคลื่อนไหว
เขาพูดขึ้นท่ามกลางคนที่มุงดู
บ้างเชียร์ฝ่ายซ้าย
บ้างเชียร์ฝ่ายขวา

"ใครว่าฝ่ายนั้นถูกครับ แทงเข้ามาๆ"
คนที่สามเริ่มสอดส่ายไปตามสายฝูงชน
คนเริ่มแทงตามด้วยความเมามัน
....

สุดท้ายเรื่องจบลง สองฝ่ายที่ทะเลาะกันบาดเจ็บ
คนที่สามหักกลบลบหนี้ ได้กำไรไปหลายหมื่น

นิทานสอนว่า "ทะเลาะกันได้ แต่ไม่ต้องให้คนมุง
เพราะจะมีคนหัวใสเปลี่ยนวิกฤต เป็นโอกาส" :P

ล้างจาน

ผมเชื่อว่า ไม่มากก็น้อย คุณต้องเคยล้างจาน
อยากรู้ว่า เวลาคุณล้างจาน คุณจะล้างให้เสร็จทีละใบ
หรือคุณล้างน้ำยา แล้วจัดวางเป็นกลุ่ม
แล้วค่อยเอาน้ำล้างจานที่เช็ดน้ำยาแล้วทีเดียว

สำหรับผม ผมชอบล้างให้เสร็จทีละใบ
มันสิ้นเปลือง ใช่ แต่ผมว่ามันสะอาดกว่า
การที่เราล้างแล้วพักให้มันอยู่ในกลุ่ม
จานที่เคลือบน้ำยาแล้ว แล้วค่อยล้างน้ำสะอาด
ช่วงเวลาที่มันสุมอยู่กันเป็นจานเคลือบน้ำยาล้างจาน
มันวางอยู่บนความสกปรกที่พื้นซิงค์น้ำ
ผมอาจโรคจิต แต่ผมว่ามันบ่งบอกอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน

ว่าแต่ว่า มันบอกอะไรดี

บอบบาง

คนเรามักขาดการเอาใจดูแลส่วนที่บอบบาง
กว่าจะรู้ตัวหรือนึกถึงมัน ก็ตอนที่มันขาดไปแล้ว
พอมันขาด ก็นึกเสียใจ และพยายามซ่อมแซม
ไม่ว่าจะหากาวตราช้างมาปะ หรือเอาด้ายเย็บ
หรือแม้แต่หาชิ้นส่วนมาทับแทนที่

สิ่งของที่บอบบางอาจซ่อมแซมได้เป็นบางชิ้น
แม้ริ้วรอยการซ่อมแซมเหมือนแผลเป็น
ไม่มีทางลบเลือน แต่น้อยที่สุด มันก็ใช้งานได้

แต่ใจคน ที่บอบบาง ถ้าถูกทำให้ขาดเสีย
จะมีสิ่งใดที่ซ่อมแซมได้
ขอเพียงว่า อย่าคิดสั้น อย่าฆ่าตัวตาย
อย่าทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น
แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

หลายคนที่เห็นคนอื่นทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย
แล้วคิดว่าคนพวกนั้นอ่อนแอ หรือโง่ หรืออะไรก็ตาม
ที่เป็นไปในทางลบ

แต่หากพวกเขาเหล่านั้น ได้เผชิญกับสถานะการณ์
ได้สัมผัสเวลาที่ใจถูกฉีกขาด
คงนึกเข้าใจว่า เพราะอะไร ความเจ็บปวดทางใจ
ถึงมีความรุนแรงเพียงพอที่จะทำให้คนบางคน
ทำอะไรโง่ๆออกมาได้

คนที่ชอบทำร้ายจิตใจคนอื่น กับคนที่จิตใจบอบบาง
ถ้าอยู่ด้วยกัน โอกาสเสี่ยงต่อเหตุการณ์เลวร้ายจะสูง
ผมคิดว่า ถ้าเป็นไปได้ คุณที่รู้ตัวเองว่าบอบบาง
ควรหลีกเลี่ยงการคบหากับคนที่พูดจาไม่แคร์ใคร
ถ้าคุณละเอียดอ่อน คุณควรเลือกคนที่จะคบ
หรือไม่ก็... อย่าได้คบใครเลยดีกว่า

เรามักไม่ทำร้ายจิตใจตัวเอง
เรามักเดินตามทางที่ช่วยให้ตัวเองมีความสุข
น้อยคนจะหาเรื่องมาทำร้ายจิตใจตัวเอง
ถ้าไม่มีเหตุการณ์ หรือบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ชีวิตสงบสุข ให้แน่ใจว่าสงบสุข

ผมคิดว่าสายน้ำที่ไหลเอื่อยคืออารมณ์
อารมณ์ของผมเอง
ถ้าวันไหน มีคนเอาตีนไปกระทืบในน้ำ
สายน้ำคงไม่ไหลเอื่อยอีกแล้ว
แต่จะแตกวงออก กระเพื่อม เหมือนใจมีพายุ
ใจที่บอบบางกำลังถูกฉีกขาด
ไร้ซึ่งความสงบ มีแต่เสียงกรีดร้องในใจ

ขออย่าให้คุณ ซึ่งรู้ตัวว่าตัวเองบอบบาง
ยอมให้ใครเอาตีนมากระทืบใจคุณเลยนะครับ
บุญรักษาครับ

ธันวาคม 05, 2549

ประเดิมวันพ่อ -- พ่อค้า ebay หน้าใหม่

วันนี้โพสไปสองอย่างครับ

Set of 4 Elephant Dolls ($6)
http://cgi.ebay.com/ws/eBayISAPI.dll?ViewItem&item=320058296024

1 Elephant Doll ($4.99)
http://cgi.ebay.com/ws/eBayISAPI.dll?ViewItem&item=320058309544

ไม่รู้จะมีคนซื้อเปล่าอะ ลองดูๆ

ถ้าขายได้ จะขายอีก หนุกๆ :)

Harddisk 250GB

เมื่อวันเสาร์ ผมถอย harddisk seagate 250 GB จากพันทิพย์
ตัวเก่า 40G ออกอาการ bad sector เกือบทั้งตัว
ตอนนี้เลยโหลดหนังสบายๆเลย :P

คำถาม

"โลกของเราคงวุ่นวายพิลึก ถ้าคนเราเข้าใจผู้อื่นโดยไม่ตั้งคำถาม เราก็คงไม่ก้าวหน้าไปหนไหน" คือประโยคที่ "มุสิก" พูดกับเจ้าของบาร์ "เจ" ส่วนหนึ่งในนิยายเรื่อง "พินบอล ,1973" ของฮารุกิ มุรากามิ (เล่มที่ 3 ที่ผมอ่านจบ ก่อนหน้านี้คือ sputnik sweetheart, hear the wind sing) ประทับใจประโยคสั้นๆ นี้ เพราะคิดว่า เป็นอะไรที่ตรงกับตัวเองดี ใช่ ผมคิดว่าผมชอบคิดว่าตัวเองเข้าใจใครบางคน โดยไม่คุยกับเขาตรงๆ เป็นการคิดเอาข้างเดียว มันเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดมากกว่าน่ายินดี ถ้าคนคนนั้นเป็นคนที่เรารัก และกลายเป็นคนที่ต้องห่างเหินกันตามภาวะ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เราเผชิญ

เพียงขอ ให้เราคุยกันเวลาที่เราไม่เข้าใจกัน มากกว่าต้องเก็บไว้ในใจ คิดไปตามทางตัวของตัวเอง แล้วผลสุดท้าย ไม่มีอะไรคืบหน้า มีแต่การหลอกตัวเองให้ตัวเองรู้สึกดี เป็นเพียงกลไกป้องกันตัวเองที่ดูเหมือนสวยงาม แท้แล้วเศร้าสร้อย เหงาจับจิต และไม่มีอะไรดี....เลย

สิ่งที่ผมเรียนรู้จากคำว่า...

เสียงหัวใจเต้น เคยตั้งใจฟังไหม.........................



ณ มุมเหงาๆ แห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ

เธอนั่งอยู่ตรงข้าม สายตาผมหลบลงต่ำ

ผมไม่กล้าสบตาเธอ หากแม้นในใจ....

ถ้าทำได้..........คงเข้าไปกอดแล้ว



เส้นบางกางกั้นระหว่าง โลกสองโลก

บางเหมือนเส้นด้าย แต่กว้างกว่าจักรวาล

อยากสบตา แต่ไม่กล้า ลอบมองบางครั้ง

ใจก็เต้นระรัว เพียงว่า ถ้าพอดีสบตากัน

ใบหน้าคงแดง หัวใจคงพองโต นี่หรือ



ความรัก...





ผมลุกจากเก้าอี้ ก้มหน้าตลอด

เลื่อนเก้าอี้เข้าที่ หยิบถ้วยกาแฟ

เดินจากไป .... ในใจคิด

"คงดี ถ้าเราเอ่ยคำบางคำ"



กลัวจะสายเกินไป เพราะรู้ว่าเวลาไม่เคยคอยใคร

"เมื่อรักใคร ต้องพูด" เตือนตัวเองอย่างนั้น

ตัดสินใจกลับที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง พร้อมถ้วยกาแฟเติมใหม่

กาแฟเย็นชืดถ้วยเก่า ถูกเททิ้งลงท่อไปแล้ว



เธอยังนั่งที่เดิม สายตายังคงมองที่เดิม

ผมยกกาแฟจิบ สายตาเหลือบขึ้น มองไปที่เธอ

สายตาจับตรงที่ดวงหน้าเธอ... ครั้งแรก



เธอสวย .... มาก.... มาก



ผมพูดขึ้น "ขอโทษครับ ผมคิดว่าผม.."

เธอเงยหน้ามองผม ยิ้มให้นิดๆ "คะ"



ผมเงียบ หรือความเงียบคือสิ่งสุดท้ายของผม

โลกหมุนติ้ว จักรวาลคืออะไร ช่างมัน

ผมมือสั่น... ถ้วยกาแฟที่ถือ คล้ายจะสั่นด้วย

กาแฟร้อนสดใหม่ คล้ายจะหก



"ผมคิดว่าผมควรพูดบางอย่าง..ครับ..เอ่อ.."

เธอยังคงยิ้มน้อยๆ สวย... มาก ...มาก

"ผม... ผมชอบคุณครับ"



ผมพูดไปแล้ว ช่างเหมือนโลกแตกเป็นสิบเสี่ยง

จักรวาลคืออะไร ผมรู้แล้ว เวลานี้เอง

ใบหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นรัวเหมือนโดนตีด้วยสแนร์

ปากสั่น มือสั่น ขาสั่น คอแห้งผาก เหงื่อเหมือนจะไหล



".." เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่คำพูดของเธอจะผ่านตามมา

"ขอบคุณที่บอกตรงๆนะคะ" เธอผมมองหน้าผม ยิ้มน้อยๆ

"เราลองคบกันนะครับ" ผมพูดตรงๆ

"ค่ะ" เธอตอบผมตรงๆเหมือนกัน



....



จักรวาลคืออะไร ตอนนี้ผมรู้แล้ว

"จักรวาลคืออะไร ... ก็ช่างมันเถอะ"



นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้จากคำว่า "รัก"

SAW III

เมื่อวันเสาร์ ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่อง SAW III ครับ
เนื้อเรื่องของหนังเกี่ยวโยงกับภาค 1 และ 2
ภาพโหดๆ มีให้เห็นในหลายๆ ฉาก แบบออกจะมากไปด้วย
เช่น ฉากเปิดกระโหลก ฉากตัดขา ฉากบิดแขนขาตัว
ฉากหัวแบะโดนลูกปืน ฉากหัวแบะโดนระเบิด ฉากแก้ผ้าในห้องแข็ง
และอื่นๆ

นับว่าเป็นหนังโหดที่จงใจโชว์ความโหดแบบจะๆ อีกเรื่อง
คงไม่มีอะไรมาก ถ้าผู้กำกับต้องการเอาชนะ Hostel
ในแง่ความโหดสยอง ผมว่าก็น่าจะผ่านนะครับ
แต่ยังไง หัวใจของหนังคือเนื้อหา
ซึ่งแม้จะเน้น graphic โหดๆ แต่เนื้อเรื่องของภาคนี้
ก็ยังดี ไม่ห่วยๆ หรือสุกเอาเผากิน ดูสนุกใช้ได้เลยครับ