ตุลาคม 31, 2549

blog ของลูกสาวครับ

http://nichapa.wordpress.com/

ลองเข้าไปดูกันได้ครับ

DEATH TRANCE

เมื่อคืนนั่งดู DVD ที่โหลดมาจากบิต ชื่อเรื่องว่า เดธ แทรนซ์
เป็นหนังญี่ปุ่น แนวฟันดาบไฮเทค (ที่มีทั้งปืน ดาบ มอเตอร์ไซต์!
ในฉากหลังที่เป็นญี่ปุ่นโบราณ) พระเอกที่เล่น คือคนเดียวกับ
พระเอกในเรื่อง Versus ของผู้กำกับริวเฮ แต่เรื่องนี้
ถึงแนวหนังจะทำให้นึกถึงผู้กำกับ ริวเฮ มากๆ แต่ไม่ใช่หนังของริวเฮ

ฉากเปิดเรื่อง เมื่อชายลึกลับกับกระบี่ เดินเข้าไปบุกวัด ที่มีรูปปั้นพระญี่ปุ่น
วางเรียงราย เต็มไปทั่ว ฉากจัดได้สวยมีเสน่ห์ ลึกลับน่าติดตาม
เป้าหมายของชายลึกลับผู้นี้คือ ขโมยโลงศพ ที่เก็บรักษาไว้ที่วัด
เป็นเวลากว่าร้อยปี การที่จะชิงโรงศพมาได้ พระเอกของเรา
ต้องฆ่านักบวช จำนวนหลายสิบคน ...

ฉากการต่อสู้ในแง่ของความสวยงามของท่าการต่อสู้ และความสมจริง ยังไม่ดีนัก
โดยรวมถือว่ายังไม่น่าพอใจ มีมากเกินไปด้วยสำหรับฉากต่อสู้ต่างๆ
แต่สิ่งที่เด่นมากๆ ของหนัง คือการสร้างตัวละคร และเครื่องแต่งกาย
ทำออกมาได้ดี ออกแบบกันดี ฉากก็ทำออกมาดี ถ่ายทำแสงสีสวยดี แต่...
เนื้อเรื่องออกจะสับสนปนเป ระหว่างเรื่องเทพ เรื่องบู๊ล้างผลาญ
และพระเอกดูมึนๆ ไปหน่อย ไม่มีนางเอก ไม่มีฉากโหดเลือดสาด ไม่มีฉากโป๊
หนังทำได้ไม่ถึงเพราะขาดสิ่งเหล่านี้ด้วย (ผมว่า)

เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เดินตามโลงศพที่ถูกขโมย
พระที่ได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาส ให้เอากระบี่ไปมอบให้
ผู้ที่สามารถชักมันออกมาจากฝัก (ด้ามดาบเหมือนลึงค์! แถมเต้นตุ้บๆได้บางที)
ตัวละคนเหล่านี้ จะพบได้ในหนังเรื่องนี้

สรุป ไม่สนุกเท่าไร ทำออกมาให้ดูดีเท่านั้น เอฟเฟกสวย
เนื้อเรื่องยังไม่ดี ฉากการต่อสู้ไม่สมจริงนักแต่ไม่เลวร้าย
ไม่เหมาะกับคนที่ชอบหนังมันส์ๆ
ที่เนื้อเรื่องดีๆ อย่าง อาซูมิ ซาโตอิชิ (ของคิตาโร่)
หรือแม้แต่ เวอซัส ก็ตามทีครับ ผมให้ 60 / 100 ครับ

ตุลาคม 28, 2549

เนื่องจาก blog เกี่ยวกับพระเจ้าของพี่ปราบดา

ความเห็นของผมต่อคนที่เข้ามา comment กระทู้เรื่องเกี่ยวกับ ศาสนา ครับ (อ่านรายละเอียดเพิ่ม กด link ที่ชื่อหัวข้อก็ได้)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ถ้าบุญชิตฯ อยากรู้ก็จงศึกษาให้ลึกกว่านี้จะเข้าใจเรื่องชาตินี้ชาติหน้าว่าทำไมถึงมีตรรก การที่เราไม่เห็นในตรรก ไม่ได้แสดงว่าไม่มีตรรก

ผมเปรียบคนอย่างบุญชิตฯ ว่าเป็นคนที่เพียงรับฟัง "ความหมาย" ของ "รสหวาน" แต่ไม่เคยได้ชิม "รสหวาน" จริงๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจสัมผัสหรือรับรู้ "รสหวาน" จริงๆได้เลย แม้เพียงนิด บางอย่างในพุธศาสนา ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการ "อ่าน" หรือ "รับฟัง" จริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่ต้อง "สัมผัส" เราอาจมองคนที่นั่งสมาธิ และรับฟังเรื่องที่ชีวิตหลังความตาย เรื่องชาติก่อน ชาตินี้ จากปากคนนั้นคนนี้ แม่ชีเล่า หรือพระเขียนไว้ แต่ก็เท่านั้น ถ้าเราไม่ได้ "สัมผัส"

ผมไม่ใช่คนที่เคร่งศาสนาแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ความไม่เห็นคุณค่าทางศาสนา เกิดจากคนเราไม่ได้ "สัมผัส" ศาสนาจริงจัง

การ "สัมผัส" ก็คือการ "ปฏิบัติ" ครับ ถ้าอยากเข้าใจในศาสนาพุทธ ต้องปฏิบัติ ปรัชาอย่างที่คุณพี่ปราบดา คิด เป็นเพียง "มิติ" หนึ่งของศาสนาเท่านั้น ถ้าอยากรู้ให้ "จริง" กว่าที่เป็น ต้อง "ปฏิบัติ" อย่างเดียวเท่านั้น

ถ้าอยากปฏิบัติ แบบเดินไปข้างหน้า โดยมีคนคอยดันข้างหลัง ให้เลือกเดินสาย เซน หรือ มหาญาน (สะกดถูกปล่าวหว่า) แต่ถ้าอยากทำแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป มีคนชี้ทาง ให้เลือกพุทธแบบไทยๆ คือหีนญาณ (สะกดถูกปล่าวหว่า)

เอาเป็นว่า ผมมี ศรัทธา ผมยังไม่ "สัมผัส" แต่ผมคิดว่า ศาสนาไม่ใช่แค่ วน loop หาไม่พบ เป็นเพียงปรัชญา แน่นอนครับ คนที่พูดได้แค่นี้ คือพวกที่มีอวิชชาในใจ ยังไม่ได้ "ปฏิบัติ" หรือ ชิมรสหวานจริงๆ แต่ วิจารณ์จากการฟังคนเล่า หรืออ่านจากตำรา

เพราะอะไรรู้ไหม

คนได้ชิมรสหวาน ยังไงก็อธิบายรสหวานไม่ได้ แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ คนที่เข้าใจศาสนา ก็ไม่สามารถทำให้อีกคนเข้าใจศาสนาได้หรอก ทำได้แค่ ... ทำให้อีกคน เข้ามาชิมรสหวานด้วยตัวเอง เข้าใจไหมนี่

อะไรหรือ

ศาสนา มีจริง ช่วยได้ แต่ต้องลงมือ เดี๋ยวนี้ .. เท่านั้นเอง (แต่โคตรยากกกกกกกกกกกส์)

Fairfield Gardens

ชื่อเรื่องวันนี้ คือชื่ออพาร์ตเมนต์ ที่ผมอาศัยตอนเรียนที่อเมริกา
เป็นอพาร์ตเมนต์ที่ผม search หาเอา ตอนเรียนภาษาที่ Texas
ก่อนจะย้ายมา Connecticut

จำได้ว่า ตอนมาถึงเมือง Bridgeport
ภาพที่เห็นคือคนดำ นิโกร เต็มไปหมด
เมืองน่ากลัวมาก แถมเรายังใหม่มากๆ ย้ายมาคนเดียว
เรียกว่าเหมือนท่องไปในแดนสนธยา
น้ำตาไหล หัวใจเต้นแรง
แต่ทุกอย่างก็ผ่านการพิสูจน์ตามเวลา

Fairfield Gardens ดูภายนอก ดูภายใน ดูใต้ดิน ดูโรงจอดรถ
ดูยังไง ก็ดูไม่ดี มันน่ากลัว มันดูไม่ค่อยปลอดภัย
แต่ทำไม.. ผมถึงอยู่ได้ตลอดโดยไม่ย้ายไปไหนเลย

เหตุผลง่ายๆคือ ผมมีความรู้สึกสบายใจ
ผมรู้สึกว่าผมไม่ต้องกังวล
ผมอยู่ชั้นหก แยกตัวจากคนอื่น
ห้องโล่ง กว้างสบาย มีที่ให้นอน
ถึงจะไม่ดูดี แต่มันสบายใจ

เวลาผ่านไปช้าๆ เชื่องๆ ผมกับ Fairfield Gardens เป็นเพื่อนกัน

เวลาคนที่เคยมาเจอหรือเคยมาอยู่ เคยมานอน เคยมาเที่ยวที่นี่
แล้วเวลากลับไปแล้ว วันหลังมาพูดถึงที่นี่แบบไม่ดี
บอกว่ามันน่ากลัว มันดูห่วย

ผมจะเงียบ และไม่ได้ต่อปากต่อคำ
แต่ในใจของผม ผมอยากจะบอกว่า
ที่นั่นคือที่อยู่อาศัยของผม มันคือ home ของผม ไม่ใช่แค่ house
ในชีวิตหนึ่งของผม ผมไม่ลืม
มันไม่ใช่แค่ที่ซุกหัวนอนกระจอกๆ ที่มีไว้ชั่วคราว
แต่มันคือที่ที่ผมรู้สึกผูกพัน ...ในระดับหนึ่ง
คือหลักไมล์หนึ่งในชีวิต ... ที่ผมไม่มีวันลืม จริงๆนะ

ตุลาคม 27, 2549

วงดนตรี..วงโดนๆ...ประวัติการตั้งวง และ..และ...

=W= ..

พูดถึงเพลง ผมนึกย้อนไปตอนเรียนปีหนึ่ง
วันหนึ่ง บิดสถานีวิทยุไปที่คลื่น ที่ดีเจสาวใหญ่
พูดคำว่า "เพราะที่สุดในโลก" ออกมาบ่อยๆ
ฟังแล้วหน้าหมั่นไส้ แต่ก็รู้สึกว่า มันมีพลังแปลกๆ

วงแมนิก สตรีท พรีสเช่อ, เรดิโอเฮด, เช็ด เซเว่น
และอีกมากมาย ถูกทะยอยเปิดแบบตามใจดีเจ
ผมฟังแล้วได้แต่ทึ่ง รู้สึกแปลกใหม่ ท้าทาย มีความหวัง?

ว่าไปแล้ว ตอนเด็กๆ ผมเรียกีตาร์คลาสสิก ตั้งแต่ม.1
ผมเรียนไป เพราะพ่อแม่ อยากให้เรียน
ใจก็รักบ้าง แต่ไม่มากมาย ไม่มีพลังขับดัน
ฟังเพลงไม่ได้อิน ไม่ได้มีความอยากเล่นให้เก่ง

วันหนึ่งผมได้ดูมิวสิควีดีโอ วง Guns 'n Roses
เพลง November Rain
เห็น Slash ยืนโซโล่กีตาร์บนเปียนโนแล้ว
โลกผมเปลี่ยนไป
ขอพ่อซื้อกีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกในชีวิต..แน่นอน ต้อง Ibanez RG Series
จากห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว กับแอมป์ที่มีเอฟเฟคพ่วง
แต่ Slash ก็ไม่ทำให้ผมแต่งเพลงเป็นเรื่องเป็นราว อยากตั้งวง

เพราะยุคแห่งดนตรีทันสมัย หรืออัลเตอร์เนทีฟ หรือ โมเดิร์นร็อค นั่นเอง
มันทำให้ผมกับสิงโต ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ต้น
เราสองคนสนใจดนตรีคนละแนว
สิงโตจะชอบดนตรีที่ซับซ้อน ฟังยากๆหน่อย
สิงโตตีกลอง ที่บ้านมีกลอง (เสียงไม่ดีมากมาย)
ผมเล่นกีตาร์(ไฟฟ้า)

เราตั้งวงกัน สิงโตลากกฤษณ์ เพื่อนที่เกษตร มาเล่นเบส
ส่วนผมทำหน้าที่เล่นกีตาร์ ร้องนำ

ความสุขที่สุดในการเล่นดนตรีคือ ได้รู้สึกถึงพลัง
มันยิ่งใหญ่มากเลย ตอนนั้น (ประมาณปีสอง ป.ตรี)

ผมคาดหวังถึงกับว่า อยากสร้าง Music Complex
อยากรวยๆ สร้างสถานที่ใหญ่ๆ เป็นที่สร้างงานใต้ดินของนักดนตรีสมัครเล่น
ที่มีทั้งเวทีให้เล่น มีห้องซ้อมให้ซ้อม มีห้องอัดให้อัด มีร้านขายให้ด้วย
แถมเล่นไม่เป็นแต่ใจรัก มีคนสอนอีกต่างหาก

ก็วาดฝันไปเรื่อย กับความฝันเกี่ยวกับโลกแห่งดนตรี ที่ตอนนั้นผมรักมันมากเหลือเกิน
รักจนมันกินเข้าไปในเลือดเนื้อ พ่อเห็นใจ เรียนจบป.ตรี
เจียดห้องให้ห้องหนึ่งที่ออฟฟิซ ทำเป็นห้องซ้อมเก็บเสียง เอาอุปกรณ์ไปวาง
ผมก็ได้ทำฝัน ทำเพลงกับวงผม
บางคืน ทำกันตั้งแต่สามทุ่ม จนตีห้า เพียงอัด.. เสียงกลอง (แต่ก็ยังไม่ดี)

ผมจำได้ตอนทำเพลงในห้องซ้อมนั้น เราทำกันเหนื่อย เราทำกันอย่างบ้าๆบอๆ
จนเบื่อดนตรีไปเลย
แบบทำเองอัดเองมิกซ์เอง นั่งฟัง นั่งปรับ มันสนุก แต่มากๆๆๆๆ เข้า
การฟังเพลงมันก็เลย drop จากที่ชอบ กลายเป็นมองมันในอีกแบบ

บางที... ผมคิดว่า การที่เรารักอะไร
แล้วทุ่มลงไป มากๆๆๆๆ จนเกินไป..
ย่อมกลายเป็นเสีย มากกว่าดี... อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนพวกเราเสมอ

ไม่ควรตึงไป หรือหย่อนจนเกินไป ควรเดินทางสายกลาง

ตุลาคม 25, 2549

น้องเฟย์


ในที่สุด ผมก็ได้ชื่อว่าเป็นคุณพ่อแล้ว หลังจากแต่งงานมาสองปี (แต่งเมื่อ
13 สค 47 -- มีลูก 20 ตค 49)

ลูกสาวคนแรกของคุณปู่คุณย่า และคุณยาย ชื่อน้องเฟย์ (แปลว่าเทพธิดาตัวน้อย)
เกิดเวลา 7:27 AM ครับ โรงพยาบาล กรุงเทพคริสเตียน
ห้องพัก 301 อยู่โรงพยาบาลระหว่าง 20 - 24 ตค
สุขภาพของคุณแม่ และเด็ก ดีทั้งคู่ครับ ลูกสาวน่ารัก
คิ้วเข้ม (บางคนบอกเหมือนผม บางคนบอกเหมือนแม่เค้า)
ตั้งชื่อจริงให้แล้ว ว่า "นิชาภา" แปลว่า ผู้มีแสงสว่างแห่งตนรุ่งเรืองนาม
การตั้งชื่อใช้หลักการที่เกี่ยวกับโหราศาสตร์ด้วย ไม่ได้ตั้งมั่วนะเนี่ย

การเกิดใช้วิธีผ่าตัด เพราะเด็กหัวไม่ลง ทำให้ไม่สามารถคลอดธรรมชาติได้
และก็อยู่ในครรภ์นาน 39 สัปดาห์แล้ว เห็นควรแก่เวลา
การเกิดแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า คนเราเลือกวันเวลาเกิดได้ในตอนนี้
ไม่เหมือนในอดีต ที่ไม่มีการผ่าตัด

ใครคนหนึ่งเคยบอกว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้
อันนี้ไม่จริงครับ ตอนนี้ทัศนะคติผมเปลี่ยนไป
เราเลือก"วัน/เวลา" เกิดได้แล้วนะ ^_^

ตุลาคม 18, 2549

มนุษย์...จักร

หลายคนคงสงสัยกับเรื่องราวการสร้างหุ่นยนต์
ว่ามันจะเป็นจริงแค่ไหน ยากลำบากมาก การทำให้เครื่องจักรมีชีวิต
แต่ในทางกลับกัน ทุกวันนี้ คนเรากำลังเป็นหุ่นยนต์กันครับ

มนุษย์ถูกโปรแกรม กลับเป็นเครื่องจักร
ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ทุกอย่างมีโลจิกซ่อนเร้นอยู่
คุณดูทีวี กดเงินเอทีเอ็ม ทำคอมพิวเตอร์ ขับรถ
อะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกลทั้งหลาย
พลังมนุษย์ถูกดูซับความเป็นจักรกลเข้าสู่ร่าง
เหมือนวงจรจักรกลที่ขับเคลื่อนกลับเข้าสู่สายเลือดเรา

การคิดอ่านของคน ถูกครอบงำด้วยจักรกล
เรากำลังกลายเป็นหุ่นยนต์
ไม่จำเป็นเลยที่จะสร้างหุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์
เพราะมนุษย์นั่นแหล่ะ กำลังเข้าใกล้ความเป็นเครื่องจักรเข้าไปทุกที
เฮ้อ....

ตุลาคม 17, 2549

Self Service

สมัยยังเรียนโทอยู่อเมริกา ภาพที่จำติดตาเสมอเวลาไปเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันทั่วๆไป คือการบริการตัวเอง ที่อเมริกา ค่าครองชีพสูงมาก ฝรั่งถ้าถูกจ้างให้ทำงานที่ใช้แรงงาน แน่นอนค่าแรงต้องสูงมาก ดังนั้น การเติมน้ำมันด้วยตัวเองจึงเป็นการลดต้นทุนการจ้างพนักงานบริการเติมน้ำมัน (เรียกง่ายๆว่าเด็กปั๊ม)

ผมยอมรับหน้าตาเฉยว่าตัวเองเคยเป็นเด็กปั๊มมาก่อนครับ แต่งานเด็กปั๊มที่อเมริกาที่ปั๊มผม เรียกว่าแอทเทนแดนซ์ ก็คือคนเติมน้ำมันนี่เอง ปั๊มแบบที่มีคนคอยเติมน้ำมันให้นั้น มีไม่มากนักในรัฐของผม(คอนเน็คติคัต) แต่ถ้าไปรัฐอื่น คุณอาจจะเห็นพวกแขกโพกผ้ายืนเต็มปั๊ม คอยเติมน้ำมันให้คุณอย่างเต็มพิกัด เพราะพวกเขาคาดหวังทิปที่คุณจะให้เวลาเติมน้ำมันเสร็จ

ทิปเป็นเหมือนค่าใช้จ่ายแน่นอนของวัฒนธรรมอเมริกัน ถ้าคุณไม่ให้ทิป แสดงว่าคุณไม่ใช่อเมริกันแท้ หลักการให้ทิปนั้นคิดซื่อๆ คือถ้าคุณซื้อของไป 100 บาท ก็ให้ทิปเขาไปสิบ ถึงสิบห้าบาท (10-15%) นั่นหมายถึงการป็นบ๋อยนะครับ แต่ถ้าเป็นเด็กเติมน้ำมัน ราคาอาจไม่ดีขนาดนี้ ยกเว้นกรณีพิเศษ

กรณีพิเศษที่สุดที่ผมเคยเจอ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวัน Thanks Giving กลางดึกคืนนั้นเอง มีรถแวะมาเติมที่ปั๊ม ผมก็ออกไปทำหน้าที่ตามระเบียบ ไม่ได้บริการถึงใจ ตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง เช็ดกระจก อะไรเลย แต่หลังจากเติมน้ำมันเสร็จ กำลังจะไปเก็บเงิน ก็ได้รับเงินทิปมาด้วย 20 เหรียญ เยอะนะ ถ้าถามคนที่ทำงานปั๊มแบบผมด้วยกัน ว่ามีคนให้ทิปแบบจงใจถึง 20 เหรียญเนี่ย น่าจะอ้าปากร้องโอ..โหหห ได้เลย

แต่สิงโต เพื่อนผมที่กลับมาหลังผม เขาเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ที่ปั๊มเล็กๆริมถนนมีตู้เอทีเอ็มมาเปิดใหม่ ทุกวัน ตอนช่วงที่คนน้อยๆ เพื่อนผมมันจะไปยืนดูตรงตู้ เพราะอะไร มันบอกว่า บางทีการกดเงินนั้น ทำอย่างรีบเร่ง เงินบางทีลูกค้าดึงไปไม่หมด หรือไม่ก็มีที่แบงค์ติดออกมาแพรมๆ ด้วย ว่ากันว่า รายได้ดีเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว (อันนี้เสริมเอง) แต่ก็นะ ผมเคยเก็บเงินที่ลูกค้าทำตกบนพื้นในร้านค้าเล็กๆของปั๊ม เป็นเงิน 50 เหรียญ

ตอนนี้สิงโตกลับมาจากอเมริกาแล้ว เราสองคนคงมีเรื่องคุยกันในแง่มุมต่างๆเกี่ยวกับชีวิตสู้ๆ ในประเทศอเมริกากันอีกนานแสนนาน... เพราะมันคือ ดินแดนแห่ง Self Service ที่มีทิปให้ กรณีไม่ยอม Self Service ว่ะ สราดดดด

ความเปลี่ยนแปลงเลย


มีแสงที่ส่องออกมาจากช่องเล็กๆ ภายในห้องปิดทึบ ไร้เสียง ถ้าเงี่ยหูฟังดีๆ คุณจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง ขณะที่คุณกำลังหายใจดีอยู่ ภาพในสมองของเธอกำลังดับลง สิ่งที่กำลังใกล้มาถึงในสมองของเธอ กับลมหายใจของคุณ กำลังแสดงตัวออกมาให้เห็นดุจแสงสว่างที่ส่องออกมานั้น

ผมก้าวขาออกจากห้องที่ตัวเองเคยอยู่ เคยนั่งจ้องกำแพงเฉยๆ เคยเอาหัวโขกผนังห้องจนเลือดไหล

เพียงต้องการให้ใครบางคนบนโลกนี้ ขณะที่เธอกำลังหายใจดีอยู่ ภาพในสองของเธอกำลังดับลง สิ่งที่กำลังจากไปจากสมองของเธอ กับลมหายใจของคุณ กำลังซ่อนตัวในช่องแคบเล็กที่แสงส่องออกมาได้เพียงรางๆ

และทุกอย่างดับลง

ตุลาคม 16, 2549

เดซิเบล เรสทัวรอง

เมื่อวานขับไปแถวลาดพร้าว เห็นป้ายเด่นสง่าสีแดงสด เหมือนป้ายโรงหนังเก่า ที่เราๆท่านๆ อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป น่าจะเคยเข้าไปดูกัน ป้ายนั้นเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า

Decibel Restaurant

ตุลาคม 14, 2549

เครื่องคอมพ์พัง

คอมพ์พังครับ
เปิดมัน 24 ชั่วโมงมาประมาณสองอาทิตย์เพื่อโหลดหนัง
วันนี้มันอ่านไดรฟ C ไม่ได้แล้ว เหมือนข้อมูลหายไปเลย
วินโดวส์ซึ่งอยู่ในไดรฟ C ก็เลยไม่โหลด

ตอนนี้เพิ่งแกะฮาร์ดดิสออกมาทำเป็น external เพื่อซ่อม
ถ้าซ่อมไม่ได้เนี่ย ... สราดดดดดดดดดดดดดดดด

ข้อมูลสำคัญมีเต็มเลยอะครับ T_T

ตุลาคม 13, 2549

เพลงผมได้ลง typhoon cafe 2 ..!!!


ข่าวดี ผมส่งเพลงไป typhoon cafe 2 ครับ ...
เพลง หน้าไม่อาย (not so shy)
ที่ผมทำไว้ตอนเรียนเมกา (ประมาณปี 2002)
เมื่อวาน ได้รับเลือกลงด้วย!

ขอบคุณทางไต้ฝุ่นที่พิจารณารับไปครับ
ได้ลงคู่กับงาน lo-fi acoustic ของ tokyo tower นะ

สนใจดูหน้าเวบ >> http://www.typhoonbooks.com/typhooncafe/sounds.html

สนใจฟังเพลงนี้เลยที่นี่ กดปุ่ม play เลยครับ



ตุลาคม 12, 2549

เสียความรู้สึก

มีคนว่าไว้ การที่เราชอบผลงานใครบางคน เราควรหยุดไว้เพียงเท่านั้น
การที่เราเริ่มไปรู้จักคนๆนั้น จะเป็นเหตุแห่งความฉิบหายได้
เพราะตัวตนกับผลงาน ย่อมแตกต่างกัน นั่นเป็นส่วนหนึ่งของโลก

ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นคนดูไม่มีอีโก้ แต่จริงๆ ผมมีอีโก้สูงกว่าคนที่ชอบคิดว่าตัวเองมีอีโก้
พวกบ้าพลัง บอกคนทั้งโลกว่ากูถูก มึงผิด กูเจ๋ง ไอเดียคนอื่นห่วย
คนพวกนี้ ดูเหมือนจะมั่นคง แต่จริงๆแล้วพวกนี้มักเป็นพวกอ่อนแอ
ปกป้องตัวเองแบบออกนอกหน้า ตรงข้ามกับผม
เวลาคนที่ถามผมมักบอกว่าผมทำเพลง เพลงผมห่วย ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเจ๋ง
คนที่ชอบผลงานผมจริงๆ เคยชมผมต่อหน้า ตอนนั้นผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ผมไม่สามารถยอมรับความชื่นชมได้ เพราะผมชอบคิดว่าตัวเองห่วย

แต่ถ้ามองกลับกัน การคิดว่าตัวเองห่วยเนี่ย แสดงว่าเป็นคนอีโก้จัด
ที่คอยกันตัวเองจากปัญหาต่างๆเหมือนกัน

ส่วนตัวแล้ว ผมแทบไม่เคยพูดกู มึงกับใครเลย นอกจากไอ้หยอย
ไอ้หยอยเป็นเพื่อนตั้งแต่เรียนเตรียมอุดม มันเป็นคนที่ไม่ค่อยคบหากับใครมาก
แต่มันกลับเห็นผมเป็นเพื่อน ตอนเรียนวิศวะจุฬา ไอ้หยอยจะสนิทกับผมและภาณุ
สามคนไปเรียนไหนเรียนกันเสมอๆ
แต่กับภาณุ ผมจะไม่พูดกูมึง เลย ปกติ สรรพนาม ที่ผมเรียกตัวเองจะเป็นเรา
ผู้ชายเรียกนาย ผู้หญิงเรียกเธอ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้
ผมไม่สามารถแสดงความสนิทสนมกับใครด้วยการพูดกูมึง ได้นัก (นอกจากไอ้หยอย)

เมื่อสิ่งที่ตัวเองระวังที่สุดมาถึง และสิ่งที่ต้องอึดอัดเข้ามา ตามทฤษฎี ผมจึงขอเลิกกิจกรรมทั้งหมด
ต่อไปจะระวังตัวให้มากกว่านี้ การคบหาศิลปิน หรือพวกสร้างงาน
สิ่งจำเป็นและพึงระวังคือ นิสัยของคนพวกนั้น
ตัวผมเองยอมรับไม่เต็มปากว่าตัวเองเป็นศิลปินแขนงหนึ่ง (เป็นแบบห่วยๆ)
ผมไม่ชอบให้คนมาชื่นชม ผมชอบให้คนเอางานผมไปแตกยอด
เหมือนการทำเพลง ผมรัก weezer มาก ผมไม่เคยฟังเพลงแล้วอิน
น้ำตาไหลพราก เท่าไหร่นัก แต่เพลงอย่าง ไมเกิ้ล แอนด คาลี่ ของ weezer
เปิดตอนที่ได้ข่าวการเสียชีวิตของทั้งคู่ที่ weezer ร้องถึง
ทำให้ผมร้องไห้แหลกลาญขณะขับรถไปทำงานเมื่อหลายปีก่อน
ผมจำได้ว่า ไม่ต่ำกว่า 1000 รอบในการฟังเพลงของ weezer ชุดแรก
และพวกเขาคืออิทธิพลที่สำคัญที่สุดของผมในการทำเพลง

ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำอะไรเพื่อเป็นการอุทิศตัวให้กับพวกศิลปินอีกแล้ว
ถ้าผมชอบใคร ขอผมชอบอย่างเงียบๆดีกว่า คนพวกนี้น่ากลัวในความรู้สึกผม
พวกเขามีอีโก้ (ที่ผมรังเกียจ) พวกเขามักไม่เข้าใจคนอื่นนอกจากตัวเอง (ที่ผมไม่ต้องการ)

ต่อไปนี้ ผมจะพยายามสร้างงานเพื่อเป็นการต่อยอดให้กับคนรุ่นหลัง
หรือทำให้คนรุ่นหลังบางคนร้องไห้ เหมือนที่ผมเคยเป็นตอนฟังเพลง weezer

อย่างที่เคยเป็น...

ว่ากันว่า ... แน่นอนว่า

แน่นอนว่า ... ผมไม่ค่อยมีเวลาให้กับการอ่านหนังสือ
ว่ากันว่า ... ผมขี้เกลียดอ่านหนังสือ
แน่นอนว่า ... ผมชอบดาวโหลดหนัง
ว่ากันว่า ... คุณ 'ปราย เคยคอมเมนต์ "เอาเวลาที่ไหนดู"
แน่นอนว่า ... ผมดูหนังไม่หมดทุกเรื่องที่ดาวโหลด
ว่ากันว่า ... ผมดูแดจังกึม กับ Lost ซีซันแรกจบ
แน่นอนว่า ... แดจังกึมผมดูละเอียด ดูแทบทั้งหมด แต่ Lost ดูมั่งไม่ดูมั่ง
ว่ากันว่า ... Lost Season แรก ยังไม่จบนี่หว่า
แน่นอนว่า ... ตอนนี้แม่งออก Season 3 แล้ว
ว่ากันว่า ... ผมอ่านงานที่พี่สิบเดส่งมายังไม่จบ
แน่นอนว่า ... เพิ่งอ่านไปได้แค่สองบท
ว่ากันว่า ... ผมขี้เกลียดอ่านหนังสือ
แน่นอนว่า ........ คำว่า "ว่ากันว่า" กับ "แน่นอนว่า" คือ Signature ของพี่สิบเด

ผมรู้สึกว่าพี่สิบเด ใช้สองคำนี้บ่อยๆ จนมันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
และบางทีมันเยอะไปหน่อยอะครับ ถ้าพี่เปลี่ยนคำพวกนี้เป็นคำพวก
"เป็นไปได้ว่า" "อาจจะจริงดังว่า" "ว่าก็ว่ากันว่า" "บ้างทีผมเดาๆเอาว่า"
"อยากจะว่ากูอะไรก็ว่า" "นะจังงังว่า" ... แห่ะๆ


ปล. แซวเล่นนะครับ ขอให้หายป่วยเร็วๆ โซกลี ครับ

ตุลาคม 11, 2549

The Interpretation of Dreams by Sigmund Freud


สำหรับคนที่สนใจการวิเคาะห์ความฝัน หนังสือเล่มนี้ ถือเป็นหนังสือที่สำคัญที่สุด ผมซื้อหนังสือเล่มนี้จากร้านหนังสืออเมริกา บาร์นส์ แอนด์ โนเบล ที่เมืองออเรนจ์ ใกล้เมืองบริจพอร์ต ที่ผมอยู่ ตอนนี้ผ่านมาสามปีแล้ว เห็นจะได้ ผมไม่เคยแตะหนังสือเล่มนี้เลย (จริงๆเรียกได้ว่านับตั้งแต่วันที่ซื้อมาก็นอนคุดคู้อยู่อย่างเดิม) ใช่.. ผมเป็นคนขี้เกลียดอ่านหนังสืออย่างมาก

เมื่อวาน ตอนกลับมาบ้าน เข้าไปห้องเก็บหนังสือ เหลือบไปเห็น ไม่รู้จะอ่านอะไรดี เลยหยิบมาพลิกดู ...แล้วอ่านเป็นครั้งแรก .... หนังสือเล่มนี้ ถูกผมซื้อมาด้วยราคาประมาณ 8 เหรียญ ด้วยเหตุสองอย่าง คือ ผมรู้จักฟรอยด์ และอยากรู้เกี่ยวกับความฝัน ตอนนี้ผมเลยได้รู้ว่า หนังสือเล่มนี้ น่าสนใจมาก

เพิ่งอ่านคำนำจบ ยังไม่ได้อ่านเนื้อหาเลย แต่จากที่อ่านคำนำ รู้สึกว่าฟรอยด์ จะเขียนโดยใช้ประสบการณ์ในการรักษาคนไข้ เอาความฝันของคนไข้มาวิเคราะห์ รวมไปถึงความฝันของตัวเองด้วย จึงน่าสนใจมากๆ มีคนที่ให้ความสำคัญกับความฝัน ขนาดคิดเป็นทฤษฎี ถึงเพียงนี้ เราคงสามารถพูดได้อย่างชื่อเพลงของศิลปินใต้ดิน เพื่อนของทีมเบเกอรี่ อย่างคุณ Norsez ที่ว่า

“Life is just a Dream”

ปล. สำหรับคนที่สนใจ มีให้อ่านฟรีที่ลิงค์นี้ครับ

http://www.psywww.com/books/interp/toc.htm

ตุลาคม 10, 2549

เสียงและน้ำตา

สิ้นเสียงรถไฟฟ้าใต้ดินขบวนใหม่จอด... ประตูเปิดออก
ผมสะพายเป้ใบใหญ่ ไร้เครื่องโน้ตบุ้ค เข้าสู่ประตูรถ
ข้างในมีผู้คนเก้งก้าง อึดอัด แน่นขบวน
ทำนบกันน้ำตาแตก ใช่... ผมเห็น
ผู้หญิงหน้าตาสวยคนหนึ่งกำลังร้องไห้
เธอก้มหน้าแต่ยังไม่วายหลุกหลิกจนผมสังเกต
อีกมือของเธอกำโทรศัพท์มือถือเล็กสั้นประชิดหูขวา
...ใช่ เธอคุยไป ร้องไห้ไป

ผมหลับตา เอียงหูเข้าใกล้ สอดส่ายรูหูรับรู้เรื่องชาวบ้าน (เสือก)
“ทำไมต้นทำกับนิอย่างนี้.. ต้นจะทิ้งนิได้ยังไง ..เรามีอะไรกันแล้วนะ”

ผมจับประเด็นหลักได้แล้ว ..ที่เหลือไม่ต้อง
พยายาม...รั้งสายตาจับจ้องดวงตาก้มต่ำของเธอไว้อย่างนั้น
เพียงเพื่อ... อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของดวงตา น้ำตา...เสียง
พยายาม...ไม่ให้ผิดสังเกต กลัวเธอจับได้ว่ามอง
เพียงเพื่อ... จะได้ดูเธออย่างนั้น ต่อไปเรื่อยๆ
…..
เสียงประกาศสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินปลายทางสิ้นสุด
ประตูบานตรงข้ามกับที่ผมก้าวเข้ามาในรถเปิดอ้า
ในใจเสียดาย เธอยังอยู่ที่เดิม
จำใจออกจากตัวรถ และก้าวขึ้นสู่พื้นผิวกรุงเทพอีกครั้ง

ว่าด้วย "ฝัน"

........................................................

ผมกำลังจะไปนอน
แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อ blog
ผมจึงจับคีย์บอร์ด และกดๆๆ
มันมีความในใจคั่งคามากมาย
......
ความฝันยามที่เราตื่น
กับการตื่นในความฝัน
สองสิ่ง มีนัยยะต่างกัน
......
อย่างแรก ความฝันยามที่เราตื่น
ทำในสิ่งที่คิดว่าอยาก
อยาก.. บ่อเกิดเสียงเพลง
อยาก.. อย่างไรให้มันดี
ต้องอยากแล้วไม่จากไป
คืออยากแล้วลงมือทำ
....
อย่างที่สอง
ตื่นในความฝัน
จดบันทึกสิ่งที่เกิดในฝัน
แล้วเอามาเปิดเผยให้โลกรู้
....

ตอนอยู่อเมริกา
สั่งอาหารจีนร้านริมถนน สกปรก
ปริมาณเยอะ รสชาติอย่าไปแคร์
ระหว่างรอ เปิดเครื่อง eBookman
เป็นเครื่อง PDA ของ Franklin
ยี่ห้อดิก
ผมอ่าน
มันมีข่าวเกี่ยวกับนักเขียนฝรั่งผิวดำ
เธอฝันซ้ำกันทุกคืนติดกัน
จนแต่งเป็นหนังสือ...
..ประทับใจมาก

อยากทำมั่ง

เอาฝันตัวเป็นๆ มาเป็นหนังสือ
ไม่ยากนะครับ
แต่ก็ไม่ง่ายนะครับ

คุณจำฝันของคุณได้หรือเปล่า
ตื่นมา งงๆ กับตอนเช้า
แล้วก็ลืม ทุกคนแหล่ะ

ทำไงดี...คิดๆ

ไม่รู้ แต่ผมจะพยายามครับ :)

ตุลาคม 08, 2549

ดู The Virgin Suicides แล้วนึกถึงตัวเองตอนรุ่นๆอะ


ผมเพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้ผ่านดีวีดี เดอะเวอร์จิ้น ซุยอะซาย ความตายของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ งานของผู้กำกับหญิง โซเฟีย แห่ง Lost in Translation

บรรยายกาศของหนังยังอบอวลหลอนๆ ไม่แพ้ Lost เลย ภาพที่ใช้ เพลงประกอบต่างๆ ช่างบ่งบอกรสนิยมของผู้กำกับหญิงคนนี้ ว่าฟังเพลงแนวไหน และที่แปลกคือ ผมรู้จักหลายเพลงเหมือนกัน (บางเพลงคุ้นมากๆ แต่จำไม่ได้ว่าของวงอะไร)

รู้สึกการได้ดูงานของเธอ เหมือนได้พบเพื่อนเก่า สมัยที่ผมยังจมปรักกับอนาคตของวงการดนตรีแนวทางเลือก สมัยที่อายุช่วงยี่สิบต้นๆ จำได้ว่า ไม่มีวันไหนที่ไม่ฟังเพลง วงที่ฟัง มีทั้งรู้จักจากรายการวิทยุของป้าแต๋ว วาสนา จากการอ่านหนังสือ GT (Generation Terrorists) หรือมั่วนิ่มไปแผงเทป แล้วเห็นปกเจ๋งๆ ก็ซื้อเลย คิดว่าเสียเงินเสียทองกับเทป ซีดี ไปเหยียบแสนเลย (รวมทั้งหมดนะ)

ร้านซีดี ที่โปรดปราน ช่วงเนอวาน่า ครองโลก คือ ทาวเวอร์เร็คคอร์ด เคยฝันบ้าๆบอๆ ว่าจะไปทำงานที่นั่นด้วย แต่ตอนนั้น ยังเรียนไม่จบ เป็นลูกแหง่ ติดพ่อแม่ ไม่กล้าไปสมัครงานหรอก แต่รู้จักเพื่อน จำไม่ได้แล้วว่ารู้จักกันยังไง แต่ไปๆมาๆ รู้ว่าเขาเคยทำงานทาวเวอร์เร็คคอร์ด แล้วก็ยังได้ไปเจอกันตอน แอช (ASH) มาเปิดคอนเสริต ที่แดนซ์ ฟีเวอร์ (จำไม่ได้ว่าปีไหน แต่นานแล้ว)

ผมรู้สึกว่า ตัวเองช่างโชคดีเสียนี่กระไร ที่ได้ผ่านพบประสบการณ์ ดนตรีครองโลก (สั้นๆ) มาได้ เพราะทุกวันนี้ หันไปทางไหนก็ i-pod, iriver, และอื่นๆ บานยี่ห้อ ก็เครื่องเล่น mp3 ไงครับ โทรศัพท์เอย คอมพิวเตอร์เอย รองรับ mp3 หมดแล้ว ที่สำคัญ หาโหลดเพลง ง่ายกว่าปลอกกล้วยซะอีก แบบนี้ คนที่เคยมีวัฒนะธรรมบูชา ซีดี ความสวยของปกซีดี การรอคอย ซิงเกิ้ลต่อไปจาก Super Sonic ของวง oasis ก็คงจะไม่มีวันได้สัมผัสอีกแล้ว แต่ผมเคย.. จริงๆนะ

สุดยอดมากๆๆๆๆๆๆๆ

บันทึกสิ่งที่ฝันเมื่อคืน ฝันร้ายทำให้ไม่ง่วง

ตอนนี้ ผมตื่นอยู่ครับ แต่ก่อนหน้านี้ประมาณครึ่งชั่วโมง...ผมยังนอน
ที่อยากบันทึกความฝันของคืนนี้ เพราะว่า มันเป็นฝันที่เฉพาะตัวมากๆ
ไม่รู้ผูกสัมพันธ์กับความทรงจำอะไรหรือเปล่า
คือผมเนี่ย มีเพื่อนที่ทำงาน ที่ผมสนิทอยู่ เป็นผู้หญิง
ช่วงหลังเราอาจไม่ค่อยสนิทกันเหมือนเดิม เพราะมีปัญหางี่เง่าเกิดขึ้น
ทำให้การคุยกันมันต้องมีลิมิต มันไม่จริงใจแบบเก่า

เธอกับผม มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือเราทั้งคู่มีสัญญากับบริษัท
เพราะถูกส่งไปอบรมต่างประเทศ ...เธอต้องทำงาน สามปี
ส่วนผมทำงานสองปี (ระยะเวลาไปอบรมไม่เท่ากัน)

เมื่อคืน ความฝันของผม ... ผมได้ทราบจากคนอื่น
ว่าเธอกำลังจะได้งานใหม่ เพราะมีคนยอมจ่ายเงินชดเชย

.... ผมไม่รู้เรื่องเลย ...

ผมวิ่งไปทั่ว มันเป็นเหมือนเกาะ เราทำงานกับหมู่ชนจำนวนมาก
ผมต้องการไปถามว่าเรื่องนี้จริงแค่ไหน
แต่ด้วยความที่ไม่สนิทกันเหมือนเก่า ผมจึงได้รู้เรื่องนี้จากการแอบได้ยิน
ไม่ได้รู้เรื่องนี้จากปากของเธอ... ผมรู้สึกเจ็บ ..ผมเลยวิ่ง
ผมวิ่งไปทั่วเพื่อตามหาเธอ จะคุยเรื่องนี้ สุดท้าย ผมหาเธอไม่เจอ
ภาพในฝัน มีเหตุการบางอย่างที่เกิดจริงเข้ามาใส่
การทำงานนอกสถานที่ การเจอเพื่อนคนอื่นๆโดยบังเอิญ
ในที่สุดผมหาเธอไม่เจอ แต่ผมเจอคนอื่นๆ ทั้งเพื่อนเก่าๆ และเพื่อนร่วมงาน
ผมบอกกับเพื่อนพวกนั้นว่า ผมไม่แน่ใจว่าควรทำงานที่นี่ต่อไป
หรือหางานใหม่ดี...

และผมก็ตื่น....

ความรู้สึกของการสูญเสียเพื่อน ละมั้ง ที่ทำให้ฝันนี้เป็นฝันร้าย
ผมตื่น ทั้งที่นอนตอนตีสี่ ตื่นแล้วไม่ง่วง
ผิดกับเมื่อวันเสาร์ คืนวันศุกร์ นอนตีหนึ่ง ตื่นสิบโมงครึ่ง
แถมยังง่วงทั้งวันอีก

การที่เรายังมีอะไรไม่สบายใจในความสัมพันธ์
บางทีมันก็เป็นเหมือนความไม่สบายใจไปตลอด
ถ้าหากตัดรากถอนโคนความทุกข์ หันหน้าเข้าหากัน
แล้วปรับความคิดความเข้าใจจริงๆจังๆ
บางทีความเป็นเพื่อนก็สามารถกลับคืนมาได้นะ..ผมว่า

คำสอนของพี่ยุ้ย

สมัยผมเรียนป.โทอยู่อเมริกาเมื่อสี่ปีก่อน
มีงานพิเศษหาเงินจ่ายค่าเช่าอพาร์ตเมนต์
งานที่ว่า .. ทำปั๊มน้ำมันโมบิล
หน้าที่หลัก ... แคชเชียร์ กับแอทเทนแดนซ์
งานแคชเชียร์ ก็รู้ๆอยู่ เก็บเงิน ร้านขายของเล็กๆ
ได้พบปะผู้คนมากมาย ทั้งฝรั่ง ทั้งนิโกร ทั้งเอเชีย
หลากหลายมากๆ ... การทำงาน ทำเป็นกะ
กะนึง แปดชั่วโมง ร้านที่ปั๊ม เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง
กะจึงมีหลายกะ เนื่องจากตอนกลางวัน
ผมต้องไปเรียน กะส่วนมาก จึงเป็นกะกลางคืน
เวลาที่ทำ เก้าโมง (สามทุ่ม) ถึงหกโมงเช้า
ปัญหาที่เจอประจำคือ ง่วงมาก

พี่ยุ้ยเป็นคนไทยที่กำลังจะกลับเมืองไทยตอนผมเพิ่งไปถึง
เธอแนะนำให้ผมได้งานทำที่ปั๊มน้ำมันโมบิล
หารายได้จุนเจือตัวเองให้ประหยัดเงิน

พี่ยุ้ยแนะนำผมว่า ให้ผมนอนนิดนึง ซักสิบห้านาที
ก่อนไปทำงาน เพราะถึงมันจะน้อย แต่มันจะช่วย
ว่ากันว่า การนอนน้อยๆ ทำให้สดชื่น จริงหรือไม่
ผมไม่แน่ใจ แต่ผมจำได้ดี มันได้ผล
มันทำให้ผมรู้สึกดี เวลาไปทำงาน แม้จะง่วงมากก่อนนั้น
ผมก็เลยได้รับคำสอนจากพี่ยุ้ยว่า

Take A Nap!

ตุลาคม 07, 2549

DEATH NOTE

วันนี้ไปดูหนังเรื่อง DEATH NOTE มาครับ
เคยอ่านการ์ตูนไปนิดหน่อย ไม่ได้ตามอ่าน
แต่ชอบไอเดีย ของคนแต่ง มันช่างสร้างสรรค์เสียเหลือเกิน
วันนี้เลยตัดสินใจไปดู ...

หนังเล่าเรื่องของตัวละครหลัก 2 ตัว
คือ ไลท์ กับ แอล
ไลท์ คือคนเก็บสมุดบันทึกของยมทูต
ซึ่งมีคุณสมบัติ พิเศษคือ เขียนไรลงไปแล้ว
คนคนนั้นจะตาย

หนังทำออกมาสนุกดีครับ ไม่เบื่อเลย
อยากดูภาคสองซะแล้ว ลุ้นว่าจะจบไง
ไม่อ่านการ์ตูนละ ดูหนังเลยดีก่า
เพราะคิดว่า คงแต่งไม่เหมือนกันอะ

ตุลาคม 05, 2549

Mysterious Skin


มนุษย์ต่างดาวลักพาตัว ไบรอัน ไปตอนอายุ 8 ขวบ แม่ติดงาน พ่อไม่รู้ไปไหน แต่ไม่มารับเขากลับบ้าน หลังจากที่เล่นเบสบอลกับทีมเด็ก ๆ วัยเดียวกัน เสร็จ เขาจำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่ภาพเลือนลางเหมือนฝันร้ายที่เฝ้าหลอกหลอนเขาตลอดมา คือเลือดกำดาวที่ไหลออกจากจมูก หลังจากที่มนุษย์ต่างดาว พาเขากลับมาส่งแล้ว ระหว่างนั้น ไม่มีอะไรเลยในหัว มันคือความทรงจำน่าหวาดกลัว และทำให้เขาสนใจแต่เรื่องมนุษย์ต่างดาวแบบจริงจัง ถึงขนาดดูทีวี ที่มีรายการเกี่ยวกับสาวที่อ้างว่าเคยถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว แล้วไปหาสาวผู้นั้นจริงๆ จนกลายเป็นเพื่อนกันไปในที่สุด

นีล ในวัยเด็ก อยู่กับแม่ลำพัง แม่มักพาผู้ชายมามีเซ็กกันให้นีลเห็น แต่ภาพที่นีลชอบ คือใบหน้าแห่งความสุขของผู้ชาย เวลาโอษฐ์กาม ... ใบหน้าแห่งความพึงพอใจ ใช่ ... เขาชอบเพศเดียวกัน เมื่ออายุ 8 ขวบ เขาเล่นเบสบอลในทีมเด็กๆ แม่มาฝากเขาไว้กับโค้ช หนวดงาม ผู้ซึ่งชักนำให้เขารู้จักการมีเซ็กครั้งแรกกับ... ผู้ชายด้วยกัน และมันคือความรักครั้งแรก กับชายวัยพ่อ... เขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม หน้าตาดี แต่ขายตัว (เกย์) ...

เวนดี้ เป็นเด็กสาวที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของนีล เขาสารภาพว่า เคยหลงรักนีล แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะนีลไม่ชอบผู้หญิง และเธอเองก็รู้เรื่องต่างๆที่นีลไม่เคยบอกใคร แม้แต่ตอนที่นีลไปขายตัวกับหนุ่มแก่ ที่ทำเอาจู๋เขาเกือบขาด เพราะกัดด้วย นีลเปิดจู๋ให้กับเวนดี้ ให้เวนดี้ดูจู๋ตัวเอง ...

เรื่องจะเป็นอย่างไร ต้องดูเองครับ หนังเรื่องนี้ดีมาก ผมดูแล้วชอบจริงๆ ไม่คิดว่าจะชอบหนังเกย์ได้ ปกติไม่ค่อยชอบดูหนังเกย์เท่าไร แต่เรื่องนี้ เห็นคนพูดถึงมานานแล้ว เลยซื้อดีวีดีแมงป่องลดราคา มาเก็บไว้เมื่อหลายเดือนก่อน เมื่อสองวันที่แล้ว เพิ่งได้แกะห่อมาดู ... โอ...

สั้นๆ ง่ายๆ ความประทับใจ ...

"ทำไมกูไม่มีเพื่อนที่เป็นผู้หญิงที่สามารถเล่าเรื่องทุกเรื่องได้ แม้กระทั่งแก้ผ้าให้ดูจู๋ แถมคบกันมาตั้งแต่ตอนแปดขวบแบบ เวนดี้กับนีล มั่งวะ"


ซึ้งในความสัมพันธ์แบบเพื่อนแบบนี้จังครับ .... จริงๆนะ

ตุลาคม 04, 2549

เบาๆกับไต้ฝุ่นเวบบอร์ด

** วันนี้เวบใต้ฝุ่นเดี้ยงๆ (เริ่มตั้งแต่เมื่อคืน) เลยขอเขียนอุทิศให้เวบใต้ฝุ่น และพี่สิบเด เลย **

ช่วงหลัง ผมรู้สึกผูกพันกับบอร์ดไต้ฝุ่นมากกว่าที่อื่น
จำได้ว่า หลายๆครั้ง เปิด PPC ของตัวเอง เพื่อเช็คกระทู้ใหม่
มีกระทู้ใหม่ของพี่สิบเด หรือ มีข่าวสารไรเจ๋งๆที่เพื่อนๆเอามาโพสได้

จำได้ หัวข้อหนึ่งของพี่สิบเด ... น้อย เสก ตอนนั้นกำลังมีข่าว
นักร้องสองค่าย เอารองเท้าปากันที่นิวยอร์ค
ผมนั่งอยู่ป้ายรถเมล์ เปิดโอทู นั่งอ่านกระทู้ ... จนจบ
แม่ง ไม่เกี่ยวกับน้อย เสก เลย พี่สิบเด บอก วันหลังจะมาพูดเรื่องนี้ใหม่

จนวันนี้ ก็ยังไม่พูด... กร๊าก

วันนั้น ขับรถไปซื้อแผ่นเปล่ากับภรรเมีย รถติด
เปิด โอทู ดูกระทู้ เจอ ออกแล้ว อินวิสิเบิ้ลเวฟ จำไม่ได้ใครโพส
แต่ดีใจ เพราะรออยู่ เนี่ย สุขเล็กๆ น้อยๆ

บางที ระหว่างไปนั่งรอหมอตรวจครรภ์ภรรเมีย ที่โรงพยาบาลลาดพร้าว
นั่งเปิดโอทู ดูกระทู้ไต้ฝุ่น ... อ้าว พี่สิบเด อัพอีกแล้ววะ สราดดดด
เร็วจัด

อะไรแบบเนี้ย เคยเป็นกันมั่งไหมครับ

สุดท้าย สร้าง blog ให้พี่แกเลย จะได้ไม่ต้องกระจายตัวในบอร์ด
มีที่เก็บที่จัดหมู่สวยงาม ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน

ที่สำคัญ ตอนนี้คนติดเพียบ
เช็คเรตติ้งแล้ว น่าจะมีคนเข้าบล็อก พี่สิบเด วันละไม่ต่ำกว่า 100 คนนะ
มีทั้งคนใหม่ กับคนเดิม คนใหม่จะน้อยกว่าคนเดิมจะเยอะหน่อย
แต่คนวิว ร่วมๆ 100 คนต่อวัน

นี่ถือว่าเยอะแล้ว เพราะเป็นเวบที่มีแต่ตัวหนังสือ ไม่มีรูป
ก็เพราะพี่สิบเด เขียนมันส์แล้วก็อัพสม่ำเสมอ คนเลยติดมั้ง ... จริง!

ตุลาคม 03, 2549

artists are sick people

ยอมรับกันเถอะ
คนชอบสร้างสรรค์
ชอบทำงานสร้างสรรค์
เขียนหนังสือ
วาดรูป
ปั้นรูป
ถ่ายรูป
เขียน blog
ทำหนังสั้น
ทำหนังยาว
เขียนบทหนัง

.....และอื่นๆ อีกมากมายสารธยายไม่ถูก

ป่วยๆกันทั้งนั้น

วันวานยังหวานอยู่

เกือบสิบปีก่อน
ผมนั่งเขียนชื่อ “หุย” ใส่ลงในสมุดบันทึกไม่มีลายหนาพอควร
ใช้เวลาว่างๆ และวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ ไปนั่งเขียน
สถานที่หลัก ... Food Center เซ็นทรัล สีลมคอมเพล็กซ์
พกซาวอะเบาต์ไปตัว (สมัยนั้นเครื่องเล่น mp3 แพง)
แต่ละหน้ากระดาษปอนด์ขาว … เขียนชื่อได้หลายร้อยชื่อ
จำนวนหน้าทั้งหมด … น่าจะเกือบร้อยหน้า
ใช้ปากกาเมจิเส้นเล็ก เขียน ไปเรื่อยๆ .... บ้าระห่ำ
มีอะไรบางอย่าง ทำให้ทำไปได้... ความรู้สึก

จริงๆ ในวันนี้ เด็กคงหัวเราะ .. มึงจะเขียนทำไมวะ
“พิมพ์ ทีนึง กด copy แล้วกด paste แล้วทำใหม่
จาก 1 ตัว เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 ไปเรื่อยๆ
ไม่กี่ทีก็ได้ทั้งเล่มแล้ว ไม่เกิน 3 นาที พิพม์ปรู๊ดเดียว ออก

ผมทำเกือบเดือน...ถ้าจำไม่ผิด...

ทุกวันนี้ ความสะดวกทำให้ความโรแมนติกลดลงหรือเปล่า
ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะยังไง ทุกอย่างล้วนมีทางออก
ปัจจุบัน เกมส์ คอมพิวเตอร์เป็น 3D ทั้งนั้น เกมส์สมัยผมเหรอ
จอเขียว แนว RPG เริ่ม ม.1 เกมส์ฮิต Ultima 5 (ภาค5!)
เกมส์เล็กๆ ตอนนั้นเหรอ dig dug, Load runner, zaxxon, archon,
โอ้ว เยอะมากมาย แต่มันได้อารมณ์มากๆ
อ้อ ยังมี สามก๊ก หนี่ง ด้วย วางแผนๆ จำได้ว่าเล่นจนหลับข้ามวันเลย สนุกมาก
จะลืมไม่ได้เลย แนว adventure พวก larry suite, space quest,
Police quest, monkey island โอ้ย พาเหรด

ลืมไม่ลงจริงๆครับ…

ตุลาคม 02, 2549

ความทรงจำสีขาวๆ เย็นๆ

เมื่อเดือน มกราคม ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปประเทศเยอรมนี
ไปอบรมเรียนวิชาหนึ่งที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทเอสเอพี
จำได้ว่า โดนส่งไปแบบฟ้าแลบ ไม่ได้เตรียมตั้งตัว
บริษัทเห็นว่าผมเหมาะสมก็เลยส่งไปเรียนซะงั้น
เราก็ไป ไม่ได้คิดอะไรมาก ถือว่าไปเรียนรู้ และไปเที่ยวด้วย
ประสบการณ์ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ที่เมืองวอร์ดอฟ
ทำให้ผมไม่มีวันลืม...

ประเทศเยอรมนี ผู้คนน่ารักดี ได้สัมผัสในเวลาสั้นโคตร
แต่ได้คุยกับคนขายของในร้านค้า ร้านขนมปัง
เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้กันเท่าไร แต่ก็พยายามเข้าใจเรา
แถมนิสัยแบบคนไทยด้วย ดูขี้อายๆ ยิ้มแย้ม บ้านเมืองสงบดี

ตอนไปถึง ผมไปคนเดียว ก็ไม่รู้ทำไร วันแรกจำได้ว่าวันอาทิตย์
ร้านแทบจะปิดทุกร้าน มีร้านขนมปังเปิดอยู่ร้านหนึ่ง
ก็เดินไปสั่ง ชี้ๆ แล้วก็จ่ายเงิน ได้ขนมปังโคตรแข็งมากัดฟันแทบหัก
ก็เลยไปเดินปั๊มน้ำมันข้างๆ โรงแรมแทน คราวนี้ได้มันฝรั่ง
กับน้ำส้ม ไม่ 100% มาปะทังหิว หลับทั้งวัน
ไม่ได้ลุกเลย อากาศดีมาก ต้องห่มผ้า หนาว แต่ไม่เหน็บ

ผมหิ้วกล้องเดินไปเรื่อยๆ ตามทางยาวสุดลูกหูลูกตา
ไม่มีร้านที่อยากเข้าไปดูจริงๆจังๆ เลยแถวนั้น
ไม่ได้นั่งรถ เพราะยอมรับว่ากลัวๆกล้าๆ คนที่นี่ไม่พูดภาษาอังกฤษ
การนั่งรถหรืออะไรจึงตัดไปเลย เล่นเดินนี่แหล่ะ สะดวกมาก
เกิดมาก็มีสองตีนแล้ว ใช้มันซะคุ้มเลย

วันสุดท้าย ก่อนรถตู้จะมารับไปสนามบินที่แฟรงเฟริต หิมะตก
อยู่มาสี่วัน ไม่ตก เสือกตกวันสุดท้าย ก็ดี
เดินเล่นทั่วเลยทีนี้ ถ่ายรูปบ้านเมือง เหยียบหิมะ หิมะปลิวปะทะใบหน้า
เย็นดี ชอบมาก ผมชอบอากาศหนาว หนาวเท่าไรไม่ว่า
ให้หนาวไปเลย หนาวเข้าไป กูชอบ... (แต่ฝนตกก็ชอบนะ ถ้านั่งที่บ้าน)

ตุลาคม 01, 2549

นักสะสม DVD ผ่าน bit

โลกอินเตอร์เน็ต มี bit torrent ฉันใด
การเช่าดีวีดี ของผม ก็ลดลงฉันนั้น

เพราะไม่ต้องเสียเงินค่าเช่า เสียรายเดือนค่า high speed
เดือนละ 500 บาท โหลดหนัง bit ได้คืนละเรื่อง
DVD นะครับ ไม่ใช่ VCD
แผ่นเปล่า ที่ใช้ vio, ohayo ตกประมาณ 15 บาท
เฉลี่ยโหลดหนังได้ 30 เรื่องต่อเดือน

เลยกลายเป็นนักสะสม DVD ผ่าน bit ไปซะงั้น :P