มิถุนายน 29, 2550

เฮ้อ.......

เฮ้อ.....



zZZZzzzzzzzzzZZZ



เฮ้อ.........



zZZZZZzzzzZZZZZzzzz





(เป็นบ้าไร)

มิถุนายน 28, 2550

coming birth day of my ils

ใกล้ถึงวันเกิดของเพื่อนสนิท

กำลังทะเลาะกับเพื่อน(รุ่นน้อง)ใหม่ที่ทำงาน

ลาป่วยไปรักษาหนังตา กับขัดฟัน

คุยกับตัวเอง

นั่งรถเมล์สาย 52 ไปหาภรรยาที่แจ้ง

ส่งจดหมายไม่ได้ เพราะไปรษณีย์หลักสี่ไฟดับ!

โลกเบี้ยว เสียวฟันตอนขัดฟัน เจ็บตาตอนโดนเจาะหนอง

... พรุ่งนี้พาเพื่อนไปกินไหนดีหว่า :)

มิถุนายน 27, 2550

last king of scotland

เมื่อคืนกลับจากทำงาน ผมเปิดหนังดูเรื่อง last king of Scotland
เป็นหนังหนักเอาเรื่องเลย ไม่ได้คาดหวังว่าจะหนัก (แต่สนุกดี)
และมีแอบโหดและโป๊ด้วย (ยิงหัว ตัดแขนขา แก้ผ้าเปลี่ยนชุด)

เป็นหนังที่ส่งให้ นายวินเทคเกอร์ได้ออซก้า สมทบชายยอดเยี่ยม แซง ปีเตอร์ โอทู

ผมชอบนะครับ สนุกดี ต้องลองๆ

เพื่ออะไร

ผมถามแพนด้าว่า คุณมีชีวิตเพื่ออะไร
แพนด้าตอบผมว่า มีชีวิตอยู่เพื่อความรัก
ผมจ้องข้อความนั้นอีกครั้ง ในความมืดของรัตติกาล
มีเพียงแสงจากหลอดไฟข้างจอคอมพ์

เจเอสเคแทรกขึ้นว่า ผมถามแพนด้าทำไม
ผมไม่ตอบ เพียงอยากให้ความเงียบเฉลยความข้องใจนั้น
ผมลุกออกไปที่ระเบียงห้องนอน

นานแล้วที่ผมไม่ได้ออกไปที่ระเบียงเพียงเพื่อมองหากลุ่มดาวลูกหมูสามตัว
ดาวที่มีรูปร่างคล้ายปลาโลมากระพือปีก แต่ถูกเรียกว่าลูกหมูสามตัว

ผมกลับมาอีกครั้ง แพนด้าตอบกลับมาอีกหลายข้อความ
เจเอสเคส่งลิงค์เพลงที่ตัวเองชอบเพื่อให้ผมได้ลองฟัง
แต่ผมไม่สามารถฟังได้อีกแล้ว ผมปิดจอ
ในตาสะกดน้ำไม่ให้เอ่อนอง

ผมเปิดจออีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปประมาณห้าสิบนาที
มีข้อความอีกมากมายของแพนด้า และทิ้งท้ายว่า

"ไปนอนแล้วนะ"

มิถุนายน 26, 2550

this week ...

ตั้งใจว่า อาทิตย์นี้จะทำงานเพลงต่อละครับ
หลังจากพักยาวหลายสัปดาห์ คืนนี้ว่าจะละเลงต่อครับ
Typhoon band จงเจริญ!

แห่ะๆ

มิถุนายน 25, 2550

ไดอะรี่เบาๆ

/ / / / / / / / / // / / / / / / / / / / / / / /...//.../
. . . ... . . ./// . . . . . .. ///. . . . . .. . .///..//
.. . . . . . . . . // //. . . . . ./// . . . . . . .. .///
/ / / / ///// / / // / / /... / / / / / / // / //....//
.. . / / . . / / .....////////////////..//....///....//

สายฝนวันเสาร์ เทกระหน่ำไม่หนักไม่เบา
เสมือนกำลังบอกใบ้ให้กับผม "ก๊ากกกก ..ซวยแน่"
ที่แย่เพราะฝนตกตอนเย็น ประมาณหกโมง
ใส่คอนแทคเลน ขับก็ลำบาก กระจกปัดน้ำฝนทำหน้าที่ไม่ดี
ภาพเลยเบลอๆ ยิ่งไปกว่านั้น การกลับจากสุพรรณบุรี
มากรุงเทพ เป็นอะไรที่ไม่คุ้นเคย มั่วๆ ไปตามป้าย
ยิ่งฝนตก ยิ่งหลุด บางทีอ่านไม่ทัน เลี้ยวไม่ทัน
กระหน่ำซ้ำด้วยการกดดันให้รีบกลับบ้าน เพราะภรรยา
ต้องการจะเอาลูกนอน ทำให้ผมเซ็งๆนิดหน่อย

.../../..///./././/////././...............././/.///////
.//////////./. ./ ././/./././ .///./ .//././././ ./.
//./ ./ / ./ /./// // //..../././/.///////////////

วันอาทิตย์ ระหว่างนั่งรถสองแถวเข้าไปบ้านยายน้องเฟย์
นั่งอ่านหนังสือ "มุมต่างมอง" บทที่เกี่ยวกับ เพลง mp3
สาเหตุที่ mp3 ทำไมถึงจำกัดไม่หมดซักที
ทำไม นายทุน ถึงต้องการบทหนังห่วยๆ ที่ทำไปทั้งๆที่รู้ว่าเจ๊งแน่ๆ
ทำไม เพลง mp3 ใหม่ๆ จึงสามารถหลบซ่อนขายได้เรื่อยๆ
อ่านแล้วได้แต่ทึ่งปนอึ้งกับไอเดียร์พิศดาร (แต่เป็นไปได้)
ของนักเขียนที่ผมชอบคนหนึ่งครับ
"ธวัชชัย คิดอ่าน"

มิถุนายน 22, 2550

อีกคำ..

ตอนที่อยู่เยอรมัน เวลาก่อนที่จะกลับหลังเลิกเรียน
ผมเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ
มันช่างโดดเดี่ยวมาก เดินไปเรื่อยๆ มองดูบ้านเมือง เดินจะปวดขาไปหมด
เพราะไม่รู้ทำอะไร

ตอนนั้นคิดว่าโลกนี้มีเราคนเดียว
เหมือนอยู่คนเดียว ไม่รู้จักใครเลย
อากาศก็หนาวมาก พื้นลื่น
ความรู้สึกโดดเดี่ยวและเหงาเข้ากระดูก
ถึงจะเป็นเวลาเพียงสั้นๆไม่กี่ชั่วโมง
แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดี
ความจริงอาการเหงาๆแบบนี้มันเคยเป็นตอนอยู่อเมริกา

ช่วงแรกที่ไปไม่รู้จักใคร
ต้องขนของใส่รถยูฮอ
ขับคนเดียวหลังจากส่งเพื่อนลงที่มิชิแกน
มีแผนที่ในมือ
ขับรถผ่านถนนยาวไกล แปลกๆ
เพิ่งขับรถไม่นาน (เลนขวา)
ความรู้สึกตอนนั้นมันก็น่ากลัวนะ
เพราะต้องผ่านด่านเก็บเงินหลายแห่ง
ถ้าไม่มีเงินสดพอจะทำไงก็ไม่รู้
หรือถ้าหลงทาง เลี้ยวผิด
กลับก็คงลำบาก ไม่มี GPS นำทาง
ขับตามแผนที่ล้วนๆ
หรือตอนทำงานที่ปั๊ม กะดึก

อยู่คนเดียว เดินออกไปเทขยะ
ปั๊มอยู่ติดป่า
เปลี่ยวๆ แต่มีรถผ่านมาจอดมั่งบางเวลา
บางคืนอากาศหนาว
มองไปในที่มืดที่ไม่มีแสง หรือบางทีก็มีรถนานๆคันวิ่งผ่านไปมา
อารมณ์เหงาๆ มันก็กลับมา
แต่มันก็ดี เพราะเราเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวจากสิ่งเหล่านั้น

คนเราเกิดมาเพื่ออยู่กับตัวเองอยู่แล้ว
ตอนตายถึงเราจะรักใครแค่ไหน
ใครรักเราแค่ไหน
แต่คนที่ต้องเผชิญกับความตายก็คือตัวเราเอง
ไม่ว่าจะมีความผูกพัน ความรัก ความเกลียด
ความแค้น แค่ไหน
เวลาตายมันก็ต้องเจอกับตัวเอง

ผมเรียนรู้การอยู่กับตัวเองตลอดเวลามาตั้งนานแล้ว
ไม่เคยคิดว่าต้องมีใครที่ต้องผูกกับเราตลอด
ไม่มีทางอยู่แล้วล่ะ
เพราะฉะนั้นผมคิดว่า
เวลาเราโดนทิ้งก็เหมือนเวลาเราอยู่คนเดียว
เป็นอากาศธาตุที่ล่องลอย

เราสามารถเป็นตัวเองได้มากที่สุดตอนที่ไม่มีใครสนใจ
...

alone..in the Macro

ผมสงสัยตัวเองว่าทำไมบางครั้งจึงต้องมีความรู้สึกชัดเจน
แม้รู้ว่าบางอย่างไม่ควรเกิด แต่ก็เกิดขึ้นเพราะอารมณ์
จริงอยู่ คนเราต้องการเหตุผลในแต่ละเรื่อง
บางครั้งเรื่องบางเรื่อง อาจไม่มีเหตุผล

เพียงความรู้สึก อยากพบใครบางคน

.... เศร้า

มิถุนายน 21, 2550

ริมทะเล Hastings

วันแรกที่ไปพักกับแฟมิลี่ ประมาณ 16 ปีที่แล้ว
จำได้ว่า ในบ้าน มีผู้หญิงสองคน และลูกชายตัวเล็กๆ จอมกวน
คนหนึ่งอายุมาก อีกคนยังไม่มากเท่าไร
ห้องที่พัก ต้องพักร่วมกับหนุ่มผิวดำจากแอฟริกา (จำชื่อประเทศไม่ได้แล้ว)
รู้แต่ว่า ไม่ค่อยชอบพักร่วมกับคนอื่น (เป็นคนไม่ชอบคนแปลกหน้า:P)

วันแรกที่เดินฝ่าลมหนาว(โคด) ไปโรงเรียนภาษานั้น
จำได้ว่า หนาวมากๆๆๆ ใส่เสื้อหนาวแล้ว แต่มือแข็งเป็นน้ำแข็งเลย
ไม่แน่ใจนักว่า หิมะตกหรือเปล่า แต่เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ ทำไมยังหนาว(วะ)

เมืองนี้ มีความทรงจำสวยงามมาก เพื่อนคนไทยน้องๆ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่ไปด้วยกัน
จำได้ว่า สนุกมาก และประทับใจมาก ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ครั้งแรกก็ที่นี่
คือ รู้สึกว่าเราเป็นเจ้าชีวิตตัวเอง การคุยกับคนร้านขายของ
การซื้อ fish and chip กิน (หรือ French fried บ้านเราแหล่ะ)
การซื้ออาหารทะเลใน super มากินที่บ้าน

และการซื้อทีวีจอ 9 นิ้ว มานั่งดูในห้องนอน! (บัดซบเจงๆ พ่อส่งให้มาเรียน ดันซื้อทีวี!)

สรุปว่า คิดถึง ภาพมันเลือนลางแล้วล่ะ แต่จำได้ว่า ประทับใจมากๆครับ

มิถุนายน 20, 2550

หัวใจรุมเร้า

เสียงหัวใจ...เต้นแรง วันก่อนที่ผมจะเอาดอกไม้ไปให้เธอ
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นม.5 วิธีการคิดให้กล้าของผมคือ
ผมคิดว่าผมต้องตาย คนเราต้องตาย ชีวิตทุกชีวิต แม้แต่ทักษิณก็ต้องตาย
ยากจน รวยล้น หัวดี โง่บัดซบ ไม่พ้นความตาย

"กะอีกแค่เอาดอกไม้หนึ่งดอกไปให้เธอตอนวันวาเลนไทน์เนี่ยนะ"

ผมคิดว่าผมต้องทำได้
จำได้ว่า วันนั้น ผมซื้อดอกกุหลาบหน้าประตูโรงเรียน ราคา 10 บาท จากนั้น ก็เดินดุ่ม
เอาดอกไม้ให้เธอ... เธอรับ หน้างงๆ

ช่วง ม.5 ความรักที่มีต่อสาวคนหนึ่ง ช่างสุดยอด
มันเป็นความรักที่ทำให้ผมเรียนดี เป็นความรักที่ประหลาด
ทั้งๆที่เธอไม่เคยได้คบกับผมเป็นแฟน
หลายครั้ง ที่ผมโทรไปแล้วเราคุยกันเป็นชั่วโมง

ผมรู้สึกว่าเธอหยิ่ง
เธอเคยบอกผมว่า ผู้หญิงต้องมีสิทธิเลือกผู้ชาย เพราะเป็นเพศเสียเปรียบ
ผมไม่เหมาะกับเธอหรอก เพราะครั้งนั้น วันงานกีฬาสี หลังจากที่พวกเราจบออกไป
(แม้จะออกไปเพราะสอบเทียบ ม.6 ไม่ได้เรียนครบ 3 ปีก็เถอะ)
เธอมองผมด้วยสายตาแบบนั้น
ความรักที่เคยมีมันหมดทันที ผมไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป...

แต่ในห้วงสมองของผมที่จำได้คือ ความรักตอนนั้น ทำให้เรียนดี
เล่นกีฬาด้วย (ผิดปรกติวิสัยตัวเอง) มันเป็นความรักที่สร้างสรรค์
ครั้งเดียว และครั้งสุดท้าย ... ลืมไม่ลงจริงๆครับ

มิถุนายน 19, 2550

อเมริกา รำลึก ...

จำวันที่เหยียบนิวยอร์คได้ไหม คำตอบคือ จำไม่ได้ แต่จำกิจกรรมบางอย่างได้
ช่วงปีแรกที่อยู่ คอนเนคติกั๊ต การมานิวยอร์คของผม คือการเอารถไปจอดย่านฟลัชชิ่ง
ซึ่งที่ได้รู้จักว่า แถวนั้น จอดได้ฟรีทั้งวัน โดยไม่ต้องเสียค่าจอดรถ เพราะพี่โอม
ซึ่งเวลาปิดเทอม จะมาเช่าห้องอยู่ที่นิวยอร์คเพื่อทำงาน (ร้านอาหาร)
จากนั้น ก็จะลงรถไฟฟ้าใต้ดิน นั่งประมาณ 45 นาทีได้ (นานมากๆ) เพื่อไปลงย่าน
แมนฮัทตั้น เป้าหมายในการเดิน

สำหรับนิสัยคนที่ไม่มีกิจกรรมอะไรมากมาย นอกจากหนังสือ ดนตรี ภาพยนตร์
การไปนิวยอร์คของผม ไม่ใช่ไปเดินพิพิทธภัณฑ์ หรือ มิวเซี่ยม แต่คือ .. การไปเดินซื้อของ

จำได้ว่า ผมไปคนเดียว สถานที่โปรด ร้านขายการ์ตูน ที่กระจัดกระจายสองสามแห่ง
หนังสือการ์ตูนที่อเมริกา เล่มนึงก็ 10 กว่าเหรียญ เปิดดูข้างในได้
ผมก็ไม่ได้ซื้อมากมายอะไร เพียงแต่ชอบไปเดินดู และก็คว้ากลับมาบ้าง ไม่เกินสองสามเล่ม

ส่วนเพลงนั้น จะไปเดินร้านใหญ่ๆ พวก เวอร์จิ้น เรคคอร์ด ไม่ค่อยกล้าเข้าร้านเล็กๆ
เพราะกลัวคนขาย (ฮา) ปกติเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยคุยกับฝรั่งหรือคนแปลกหน้า
แต่ด้วยหน้าที่เป็นแคชเชียร์ประจำปั๊ม จึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่งของเมเนเจอร์ชาวมาเล
ว่าต้องพูด "สวัสดีครับ" ทุกครั้งที่มีลูกค้าเข้ามาจ่ายเงิน (แต่จริงๆก็ไม่ค่อยพูดหรอก :P )

นานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้สัมผัสชีวิตแบบนั้น เป็นชีวิตแบบคนเดียว
บางครั้ง ตื่นไหว ตอนเช้าก็จะไปว่ายน้ำที่สระที่โรงยิมมหาวิทยาลัย
แต่ถ้าตื่นไม่ไหว (เพราะทำงานกะดึก) ก็จะเดินออกไปหาอะไรกินที่ข้างล่างอพาร์ตเมนต์

เพราะปกติ อยู่เมืองไทยไม่เคยมีชีวิต "ด้วยตัวเอง"
การไปอยู่อเมริกาสองปีกว่า
คงช่วยให้รู้ว่าชีวิตที่ต้องจัดการตัวเอง
(แม้จะไม่สวยหรูจนน่าทึ่ง)
แต่ก็เกิดขึ้นจริงกับผมมาแล้ว ครั้งหนึ่ง...

มิถุนายน 18, 2550

Busy.... is Bliss?

ช่วงนี้มีงานเข้ามาพร้อมกัน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีความยุ่งๆอยู่พอควร
คงไม่ว่างเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะยุ่งได้เท่าสมัยก่อนหรือเปล่า
สมัยก่อนที่ว่าคือ ตอนที่ต้องไปประจำที่ไซต์งาน ซึ่งทำงานแบบ
เกิน 10 ชั่วโมงต่อวันเป็นปกติ ...

เพียงแต่ทีมไม่เหมือนเดิม คงไม่ใช่การทำงานแบบเดิมๆอีกละ
แต่อย่างน้อย มันก็คงเป็นงานที่หนักอีกแบบ

มิถุนายน 14, 2550

วันนี้เป็นวันอะไรวะ

บรรลุ เขมิยาทร หรือ ละมั่ง เพื่อนสมัยประถม เกิดวันที่ 14 มิย. 2519
มันเป็นวันดี เพราะมันเป็นวันเดียวกับที่ผมเกิด แต่ดีกรีความเจ๋งในเชิงศิลปะ
เพื่อนผมมันเหนือกว่าผมเยอะ

แต่อย่างไรก็ดี ผมก็ดีใจที่มีฐานพลังอยู่ อย่างน้อยก็รู้ว่าคนเกิดวันนี้เป็นไง
ถึงไม่เหมือนกันทั้งหมดในรายละเอียด แต่อย่างน้อย ก็มีบางส่วนคล้ายคลึง

กมลชัย ก็เกิดวันเดียวกับผม และอีกสองสามคนที่ผมรู้
นอกจากนั้น ในชีวิต ยังมีคนที่เกิดวันที่ 14 มิย อีกหลายคน
(แต่คนละปี) แม้แต่ ภราดร ศรีชาพันธ์ ก็เกิดวันนี้ด้วย (จ๊าก)

เอาวะ วันนี้เป็นวันอะไรวะ

เป็นวันที่ผมเกิดมาเมื่อ 31 ปีที่แล้วว่ะ
Happy Birthday

ขอบคุณ sms ของ เมียจ๋า พี่ฝน น้าแอ๋น สิงโต และ mms ของ เมียจ๋า, เป้
แก่อีกปีแล้ว

อ้อ วันนี้มีคนเกิดสามคนพร้อมกัน ที่ออฟฟิซ ได้กินเค้กด้วย
แล้วตอนกลางวันก็ไปกินกันที่ร้านข้างๆตึก... พี่ฝนมากินด้วย :)

สัมผัส

ทำไม iPod ถึงขายดี เมื่ออาทิตย์ก่อน ได้ลองเล่น iPod VDO ของนิว
น้องที่ทำงาน พบว่า ตัวเครื่องถูกห่อหุ้มด้วยซองซิลิโคน แต่..
ระบบการหมุนยังทำงานได้ดี แปลว่าอะไร น่าสนใจ มันไม่ใช่ระบบสัมผัส
แต่มันคือ ระบบอ่านความร้อนของนิ้ว ?? หรือเปล่า

ผมไม่รู้ว่าระบบกงล้อของ iPod ทำงานอย่างไร แต่ผมว่าเจ๋งดี
ทำไมขายดี ก็เพราะเจ้าความเก๋ของคนคิดน่ะสิ มนุษย์บางครั้ง
คล้ายอยากสัมผัสแต่ไม่ใช่การสัมผัสตรงๆ แต่ผ่านม่านเล็กๆ
ที่ไม่มีผลกระทบต่อการตอบสนอง

บางที การบอกรัก ก็ไม่จำเป็นเท่าการมองตากัน
นั่นคือระบบสัมผัสของ iPod

มิถุนายน 13, 2550

รักระยะสั้น

ทั้งคู่พบกันไม่นาน
แต่เป็นความพอใจของผู้ใหญ่ ทั้งคู่เลยได้แต่งงานกัน

บางคนกำลังทนอยู่
คนที่รู้จักกับคนหนึ่งในคู่นั้นยาวนานกว่าคู่นั้น กำลังเศร้า

"เธอคือรอยร้าวของกาลเวลา ที่ตราอยู่ในหัวใจ
ไม่มีทางหาย ยังคงว่ายเวียน ตราบยังมีลมหายใจ"

เธอเอาเนื้อเพลงบางส่วนไว้ที่ msn ของเธอ (เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน)

ความรักคืออะไร
มันเป็นเรื่องของใคร ระหว่าง คนผู้นั้น หรือคนที่ทำให้คนผู้นั้นเกิดมา...

อืมมมมม someday we'll grow

ได้กินข้าวด้วยกันแล้วววว

วันนี้ก็ได้กินกลางวันด้วยกันเสียที หลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน!

ฮ่าๆ

ส่งจูบบบบบบบบ

มิถุนายน 12, 2550

ความทรงจำของสายลม

"เธอมองจ้องหน้าเราทำไม" น้อยถามผม
เป็นชั่วโมงพละ ของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง
เป็นชั่วโมงของชั้นประถมศึกษาปีที่ห้า ห้องป.ห้าทับ.. จำไม่ได้แล้ว

"เธอตาเหมือนเหยี่ยว" ผมตอบน้อย

เรื่องมันนานแล้ว ประมาณเกือบยี่สิบปีได้
เธอคือรักครั้งแรกของผม ที่ทำให้ผมรู้จักว่า
ความรักแบบหนุ่มสาว เป็นอย่างไร

และในเวลานั้น ผมไม่กล้าทำอะไร
ความทรงจำที่มี ที่เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึก
มีเพียงเรื่องตาเหยี่ยว ที่ว่าเท่านั้น

เราพบกันอีก ตอนม.ต้น
ดันเข้าที่เดียวกันได้อีก แต่... แทบคุยกันนับคำได้

ความทรงจำสองเรื่อง เรื่องแรก การแข่งฟุตบอลห้อง ผมเล่นด้วย
เป็นตัวอะไรจำไม่ได้ ปกติไม่ได้เล่นบอลเท่าไหร่
ผลออกมา ทีมผมแพ้ และจำได้ว่าน้อยอยู่ห้องเดียวกับผม (หรือไม่ก็มาเชียร์ด้วย)
ผมไม่กล้ามองหน้าน้อยที่นั่งที่เก้าอี้เชียร์ตอนบอลเลิก และห้องผมแพ้

เธอเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมเดาว่า... เป็นคำให้กำลังใจ

....

ระวังเสียใจกับสิ่งที่มีโอกาสทำ แต่ไม่ทำนะ
เวลาชีวิตคนเรามันสั้นนัก
เราย้อนเวลากลับมาไม่ได้แล้ว แต่ที่แน่ๆ เรายังมีความทรงจำ

....

...ขอบคุณนะ... สำหรับกรอบรูปของขวัญวันแต่งงาน :)

มิถุนายน 11, 2550

คิดถึง(โว้ยยยย)

ใกล้ถึงวันเกิดแล้ววววว...

เมื่อวันศุกร์ โทรไปหาพี่ฝน และรู้ว่าพี่ฝนจำวันเกิดผมไม่ได้ ! 55
แต่ไม่เป็นไร จำไม่ได้ ก็จะเตือนเองวะ

คิดถึงวันเก่าๆ ปีที่แล้ว ผมไปกินที่แมคโดแนล
ปีก่อนกินไหนหว่า ไม่แน่ใจ

ชอบจัง อบอุ่นดี มีความสุข บางครั้งก็สุขเกินไป
ผมดีใจที่ได้รู้จักกับพี่ฝน
คนที่เราสบายใจเมื่ออยู่ด้วย สบายใจเมื่อได้คุย
เป็นเพื่อนกันจริงๆ ซึ่งหายากนะ
ว่ากันแล้ว ผมอาจไม่เคยมีเลยก็ได้ 555 (ไม่หรอก มีครับ อย่างน้อยก็ สักพวยละวะ)

ช่วงที่ทำงานด้วยกัน ผมยังรู้สึกว่าคนอื่นมันจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันป่าววะ
จริงๆแล้วป่าวเลย ผมรู้สึกว่าพี่ฝนเป็นเพื่อนสนิท
ไม่ได้คิดจะเป็นแฟน ผมรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้
เป็นคนพูดจาตรงๆ ไม่ยุ่งยาก แล้วก็มีปัญหาอะไรก็พูดมา
ไม่มีนิสัยแบบประมาณเก็บเงียบ กัดที่หลัง

แต่ยังไงก็แล้วแต่ พี่ฝนไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว
เพราะชีวิตต้องเดินต่อไปตามทางของตัวเอง
ยังดีที่ว่า ที่ทำงานของเขาไม่ได้ไกลจากที่ผมอยู่นัก

บางครั้งช่วงนี้ผมรู้สึกตัวคนเดียวจริงๆครับ
แย่นะ เพราะอะไรๆมันค่อยๆเปลี่ยน
อยากให้พี่ฝนทำงานอยู่ที่นี่ด้วยกันจัง
เพราะอย่างน้อยผมคงมีคนที่คุยได้ทุกเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องความกลุ้มใจที่เกิดบ่อยๆ
ตามประสาคนชอบจินตนาการนั่นแหล่ะ

เฮ้อ... คิดถึงพี่ฝนว่ะ

การตอบสนอง บางครั้งสำคัญกว่าสิ่งอื่น

นานมากแล้ว ที่ผมให้ใครบางคนที่รู้จักยืมของไป
และอีกเช่นกัน บางครั้งก็ให้ไปเลย ไม่ใช่ให้ยืม
แต่หลังจาก... หลังจากให้ยืม หรือให้ไปเลย
ผมแทบไม่เคยได้รับการตอบสนองจากสิ่งที่ทำเลย

ยกตัวอย่าง พวกหนังซีรีส์ต่างๆ เวลาอยากได้
คนผู้นั้นจะถามว่าผมมีไหม และบอกยืมไปนานนะ
แต่ไม่เคยที่จะพูดถึงมันอีกหลังจากนั้น
เช่น การพูดถึงว่าหนังเป็นอย่างไร สนุกอย่างไร
ขอบคุณที่ให้ยืมนะ สนุกมากเลย

การตอบสนองบางครั้งสำคัญ บางครั้งคล้ายไม่มีค่ากับใครบางคน
คนที่ลืมบุญคุณคนอื่น มักอยู่ในโลกนี้ด้วยความปวดร้าว
ผมเชื่อว่าซักวัน กรรมจะทำให้คนประเภทนั้นตาสว่าง
และรู้ว่าอะไรคือคำว่า "น้ำใจเล็กๆน้อยๆ ที่ควรค่า"
ซึ่งคงไม่มากไปกว่า ให้ความสำคัญกับ "น้ำใจ" ของคนอื่นด้วย
อันเป็นวิถีของคนที่ มีความเป็นมิตรให้แก่กัน

และเมื่อถึงเวลานั้น เขาอาจมาบรรยายความสุข
และสิ่งที่ได้รับ จากการที่เอาของผมไปยืม หรือที่ผมให้

เช่นเพลงเพราะมากเลย ขอบคุณที่ทำให้เรารู้จักเพลงแบบนี้
หรือ เพลงแบบนี้เราไม่ค่อยชอบนะ เราว่าน่าเบื่อมากเลย
แต่ก็ขอบคุณนะ หรือโอ้ว หนังอะไรเนี่ย ทำไมนองเลือดแบบนี้

ผมว่า คำพวกนี้ อาจฟังดูไม่มีค่าอะไรในสายตาคนๆนั้น
แต่สำหรับผม ผมถือว่ามันมีค่ากว่าการตอบแทนด้วยสิ่งอื่นๆเสียอีก
ใช้เวลาซักนิด คิดถึงใจคนอื่นบ้าง ชีวิตจะดีขึ้น

เป็นไปได้ไหม ในใจเขา กำลังทำอะไรบางอย่าง แก้แค้น?
หรือต้องการทำให้ผมเจ็บปวด เพราะรู้ว่าผมต้องเจ็บ
ถ้ามันเป็นแบบนี้ ผมก็คงพูดไม่ออก

ปล. ผมจำได้ วันนั้น พวกเราไปงานฉลองวันเกิดใครบางคน
และคนๆนั้นออกมาช้า ทำให้ไม่ได้ไปด้วย และเสียใจ
ผมโทรไปขอโทษ ด้วยความเสียใจจริงๆ จำได้ว่า ผมได้ยินเสียงเขาร้องไห้?
ใช่... สำหรับผม คนที่เราแคร์คือเพื่อนของเรา
คนที่ไม่แคร์ แม้ดำเนินชีวิตในทำนองทำร้ายเรา ทำให้เราเสียใจ
คนพวกนี้ ไม่มีค่าพอกระทบใจเรา แต่คนที่เราห่วง เราแคร์
แม้เพียงเล็กน้อย เราก็คิด.. เพราะเรามองเห็นความสำคัญของเพื่อนเราเสมอ

มิถุนายน 10, 2550

"พลอย" เมื่อ อหิงสา ภาคผู้หญิง เดินเล่นแถวชุงคิง เอ๊กเพลซ




ผมเพิ่งไปดู "พลอย" มาครับ เมื่อรอบเที่ยงห้าสิบห้า เวลาบัตร
แต่เวลาฉาย ปาไปบ่ายโมงครึ่ง แบบนี้ต้องมีใครทำอะไรบ้างแล้วมั้ง
ปล่อยให้คนดูเข้าไปนั่งรอหนัง นานถึง 40 นาที!
ค่ายเมเจอร์ร้ายกาจจริงๆ คงเอาเงินค่าโฆษณาเข้ากระเป๋าสบายแฮ

หนังเรื่อง พลอย ดูสนุกกว่าที่คิดเยอะมากๆ แถมการใช้วิธีถ่ายแบบ
hand held (กล้องสั่น แบบถ่าย handy cam) ทำให้นึก
ไปถึงการถ่ายของคริสโตเฟอร์ ดอย อย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าอิทธิพลทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่ที่แน่ๆ เคยอ่านสัมภาษณ์พี่เป็นเอก ว่าชอบหนังเรื่อง อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม
ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจผิดหรือเปล่า คาแรกเตอร์ของ อหิงสา มันแรงนะครับ
ไม่ใช่แรงแบบก้าวร้าว แต่มันชัดเจน คือหัวฟู พูดกับทุกคนด้วยคำว่า "เรา"
ไม่มีการเรียกตัวเองว่าผม เรียกคนอื่นว่า "นาย" ตลอด มันเท่ (หรือแปลก)
เช่น คุยกับคนอายุประมาณลุง เรียกตัวเองว่า "เรา" สังคมไทยมันไม่มีนะ มันแปลกแยก

แต่ใน "พลอย" หัวฟูนี่อาจจะได้อิทธิพลจาก "อหิงสา" ไม่มากก็น้อย แต่ที่ต้องเอะใจคือ
"ความรักมีวันหมดอายุเหมือนอาหารกระป๋อง" เนี่ย มันคุ้นมากๆ เพราะมันคือ บทสนทนา
และ ตัวละครนึง(ก็ว่าได้) ของหนังเรื่อง ชุงคิง เอ็กเพลซ (ฮ่องกง) ผู้กำกับ หว่อง กาไว นั่นเอง

ผมไม่ได้มองว่า มันคือการเลียนแบบ แต่มันคือกลิ่นไอ เท่านั้น ผมว่าตัวพี่เป็นเอก คงไม่ได้คิดจะลอก
หรือเลียนแบบ แต่นี่คือหนังที่ดู "สนุก" กับคนที่ผ่านชีวิตมาพอสมควร เด็กๆดูอาจไม่สนุกเลย
สำหรับผม ผมชอบครับ ไม่เบื่อเลย ดูได้ทั้งเรื่อง ไม่มีอารมณ์ประมาณเบื่อ ช้าไปแล้ว
หรืออะไรพวกนี้ คงไม่เทียบกับ Last Life เพราะเรื่องนั้น ผมว่าอารมณ์เอื่อยเฉื่อยเป็นระเบียบ
เป็นจุดแข็งของหนัง ที่แม้จะช้า แต่ช้าแบบมีความสวยงาม ส่วน Invisible นั้น ขอบอกตรมตรงว่า
ผมเสียความรู้สึกมากๆ กับการแสดงของ อาซาโน่ (ที่ผมชอบมากในเรื่อง Last Life)

พลอย ให้ความรู้สึกว่า ชีวิตคู่ มันมีจุดนี้อยู่ แต่เราจะทำให้มันผ่านพ้นได้อย่างไร ..

สำหรับส่วนหลังจากนี้ เป็น Spoiled สำหรับคนที่ไม่คิดจะดู หรือคนที่ดูแล้ว ก็อ่านได้ครับ
เป็นการเล่าเรื่องของหนังทั้งหมด

หนังเปิดเรื่องที่ วิท กับแดง สามี ภรรยา กลับมาจากอเมริกา ที่ทั้งคู่อาศัยอยู่เป็นสิบปี
โดยวิทเปิดร้านอาหารอยู่ที่นั่น การกลับมาเพื่อไปงานศพ ของใครคนหนึ่ง
(หนังไม่ได้บอกว่า คนผู้นั้นเป็นญาติฝ่ายไหน ของใคร) เมื่อมาถึงเมืองไทย ทั้งคู่ไม่มีบ้านที่ไทย
ก็เลยต้องพักโรงแรม (หรือมีแต่มีที่ภูเก็ต ก็ไม่แน่ใจ เพราะหนังบอกว่า วิท เป็นคนภูเก็ต ...
ทำไมต้องภูเก็ต !! หรือว่า .. Invisible Waves ?:) )

วิท สูบบุหรี่ และเมื่อถึงห้องพัก บุหรี่หมด วิทเลยบอกแดงว่าจะลงไปซื้อบุหรี่... ตอนวิทลงไป
แดงพบเศษกระดาษในกระเป๋า เขียนชื่อ "น้อย" และเบอร์โทร ...แต่วิทไม่ได้ไปแค่ซื้อบุหรี่เท่านั้น
เขาไปนั่งในบาร์ ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้พบกับเด็กสาวที่ดูโคตรเด็ก (สายป่าน) ชื่อว่า พลอย
เขาคุยกัน และพบว่า พลอยมารอแม่ที่กำลังกลับมาจาก สวีเด็น และพลอยสูบบุหรี่ด้วย
(อันนี้ ต้องการสื่อว่า การสูบบุหรี่ เป็นสิ่งที่ผู้กำกับนิยม ถ่ายทอดมาในหนังได้ทุกเรื่อง
เลยจริงๆ พับผ่า 55) ด้วยความที่เป็นคนภูเก็ตเหมือนกัน และสงสารที่ต้องนั่งรออีกนาน
จึงชวนพลอยมานอนที่ห้อง (นอนพักจริงๆ ไม่ได้หวังจะมีเซ็กส์) เมื่อมาถึงห้อง
แดงก็ไม่พอใจแล้ว เพราะเพิ่งพบกับเบอร์โทร "น้อย"

หนังจากนี้ เป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ และมัน "ผู้ใหญ่" มากๆ หนังไม่เด็ก และ
"หมิว" เล่นได้เก่งมากๆ ครับ ชอบหมิวเล่นจัง ส่วน "สายป่าน" ไม่เด่น "อันดา" ไม่เด่น
มีแต่หมิว ที่ต้องเล่นกับอารมณ์มากๆ และยังโดน "ข่มขืน" อีก... อะไรจะขนาดนั้น !

สรุปว่า เป็นหนังดีครับ แต่ไม่ได้รางวัลในคานส์แน่ๆ ถ้าส่งไปสายประกวด ไม่ใช่ สายแสดง นะ
เพราะหนังเมืองคานส์ มันต้องมึนๆ งงๆ ซึ่ง พลอยเนี่ย ชัดเจน และเข้าถึงอารมณ์ ...
(แต่แปลก .. ไม่ประทับใจ) ไม่มึน ไม่งง แม้แต่น้อยเน้อ :)


ผมให้ 4/5 ครับ ....

เกมส์..

เราอยู่ในเกมส์
ทุกคน
ไม่มีใครหลุดพ้น
ผลของเกมส์
มีแพ้ ชนะ เสมอ
เท่านั้นเอง

เราต้องการออกจากเกมส์ไหม
ถ้าต้องการ
เราต้องทำอะไรบ้าง
อย่างแรกเลย
ต้องรู้ก่อนว่า เกมส์ที่เราอยู่
มีกติกาอย่างไร
เมื่อรู้กติกา
กติกาการขอออกจากเกมส์ก็จะปรากฎออกมา
เราต้องการออกจากเกมส์
ก็ต้องทำให้ถูกวิธี

แต่จำไว้ว่า

ความสุข
เสียงเชียร์
ยามชนะ
ยามได้กำลังใจ
ยามฝึกซ้อม

ก็จะไม่มีอีกแล้วนะ

แน่ใจแล้วนะ
จะไปจากเกมส์

เกมส์การเป็นมนุษย์
เวียนว่ายตายเกิด

เพียงตัวเอง

ขณะนี้ รอบกายที่เห็นในขณะทำงาน
คือเพียงวัตถุที่ประกอบกันเป็นห้องทำงาน
ผมมองไม่เห็นมนุษย์หน้าไหนเป็นมนุษย์
ผมไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ไม่ยอมรับสังคมใดๆ
ผมรู้เพียงว่า ผมไม่มีใครในหัวเหลืออีก
เพียงใช้เวลาให้มันผ่านไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะครบกำหนดวันที่ผมจะไปได้

ผมก็จะไป

ผมคิดถึงใครคนหนึ่ง ตอนที่ยังทำงานด้วยกัน
เพียงคนที่ผมจะรู้สึกว่า นี่คือเพื่อน
ผมรู้สึกเหงา แต่ผมยังไปไหนไม่ได้

ผมก็จะรอ

บางครั้งผมบอกตัวเองว่า ผมทำได้
บางครั้งอ่อนแอเพราะสิ่งอื่นเข้ามา
ผมต้องอดทนให้ได้ ไม่มีใครตายเพราะความเหงา
แม้เหลือเราคนเดียว เพราะเราอยู่ที่นี่
ลำพังไม่ได้ ลำพังไม่จริง
แต่เราต้องทำให้มันเป็นลำพังให้ได้
เราไม่ต้องการคนที่ไม่จริงใจเป็นเพื่อนเราอีก

เราต้องทำ

มิถุนายน 04, 2550

Comment happy hum :P

อ่านแล้วมีความสุขมากๆเลยครับ เฮ้อ... someday we'll know!

๑) คุณเป็นแบบนี้มานานแล้วนี่... <== -_-"

๒) จมอยู่กับตัวเอง ติดอยู่กับเวลา...
ทำไมเธอไม่มา เธอหายไปนานเหลือเกิน...
วันและคืนเฝ้าหมองเหม่อ...
ใคร... ทำให้เธอห่างเหิน...

เพราะว่า ใจ ... กลัว ...

๓) เสียสละยังไง ไม่เข้าใจ ?

การสอนน้องๆเข้าใหม่ มันก็เป็นงานเป็นหน้าที่
ที่ต้องทำอยู่แล้วนี่ครับ?

คิดอยู่ งงด้วย...

มันคืออะไร...
เสียสละตรงไหน (ฟะ)

----

เซ็งเบื่อพวก comment พวกนี้ก็เลยไม่ให้มันโผล่ใน comment
แต่เห็นว่าอุตสาห์สละเวลาพิมพ์มาก็เอาวะ ซักหน่อย

เซ็งเปิดเซ็งไก่

มิถุนายน 01, 2550

คิดถึง นึกถึง

มีคนบอกว่า ไม่อยากใช้คำว่า "คิดถึง"
กับสาวคนหนึ่ง และได้ใช้ "นึกถึง"แทน
ประมาณว่า

ในใจอยากบอกว่า
"คิดถึงเราบ้างไหม ไม่ได้คุยกันหลายวันเลย"
แต่บอกไปว่า
"นึกถึงกันบ้างไหม ฯ"

ผมคิดว่าสองคำมีพลังไม่เท่ากัน
แต่จะยังไงเสีย
ถ้าเค้าถอยเวลาเรารุก ก็จงเข้าใจว่า
ไม่ต้องไปสนใจ

บทลงโทษของคนใจร้ายกับเรา
คือใจร้ายกลับไป นี่คือมติของฟ้า