กันยายน 30, 2549

คำแนะนำของอาวินทร์

ผมถามเกี่ยวกับทัศนคติ คนทำงานแนวศิลปะ
เช่น เขียนหนังสือ ทำเพลง วาดรูป
ต้องมีความกดดัน หรืออุปสรรค อะไรไหม
ถึงจะทำงานได้ และชมอาวินทร์ ว่าเก่ง
เพราะสามารถออกงานได้สม่ำเสมอ
ไม่ธรรมดา

คำตอบที่ได้ มีดังนี้ครับ
ตอบเมื่อ: 2006-09-30 13:54:22 -->
ผมก็ไม่แน่ใจนักว่า จริงไหมที่ศิลปินสร้างงานที่ดีได้เฉพาะใต้แรงกดดัน
หรือประสบอุปสรรคมากมาย ผมคิดว่าไม่จำเป็น อีกประการ ศิลปะ
ไม่จำเป็นต้องสะท้อนประสบการณ์เลวร้ายหรืออุปสรรคเสมอไป

http://www.winbookclub.com/talk_answer.php?id=6552

ขอบคุณมากครับ ... อาวินทร์ (สั้นแต่ได้ใจความดี)

กันยายน 29, 2549

สวนทางกันเดิน

สังเกตอะไรที่เกิดบ่อยๆ โดยไม่ตั้งใจกันมั่งไหมครับ

ผมเดินจากออฟฟิซ ไปลงรถไฟฟ้าใต้ดิน
ระยะทาง... ยี่สิบนาที ถ้าเดินเร็ว
ระหว่างทาง แทบทุกครั้ง จะสวนกับคุณอาไว้หนวดคนหนึ่ง
บางทีเดินมาคนเดียว บางทีมากับเพื่อน สวนกันแทบทุกวัน

แปลกดี บางที ผมเคยคิด เราพบอะไร
เราเห็นอะไร มันต้องมีที่มา
แม้ว่าจะพิสูจน์ไม่ได้
ชาติที่แล้ว ผมว่ามีจริง

คนเรา เป็นเพื่อนกันได้ ผมว่า มันไม่ได้บังเอิญ
ชาติก่อนต้องเคยมี สัญญา อะไรบางอย่างกัน
คนที่เป็นเพื่อนกัน แล้วพัฒนาเป็นความรัก
ผมว่า ชาติก่อนอาจเคยอุปถัมภ์ กันและกันมา

อกหัก สมหวัง ได้คู่กัน ไม่ได้คู่กัน
ได้จับมือกัน ได้... กัน ทุกอย่าง ผมเชื่อว่า
มันต้องมาจากผลของกรรม

การที่เราพิสูจน์ไม่ได้ว่า สามจุดสามสามซ้ำ หน้าตาจริงๆเป็นอย่างไร
(เวลาเราแบ่ง 10 ออกเป็นสามส่วน)
แต่ทุกคนไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า สิบ มีจริง สาม มีจริง
สิบ ส่วน สาม มีจริง (แต่ไม่สามารถเอามาแฉได้)

เพราะงั้น ผมคิดว่า
ถ้าผมอกหัก ก็ดี สมหวัง ก็ดี ได้รักใคร ก็ได้ โดนใครรัก ก็ดี
ทุกอย่าง มีเหตุ และผล รองรับ

การที่คนเรามีชีวิตในโลกนี้ได้ ด้วยความหวัง
ได้สูดลมหายใจ ได้ยิ้ม ได้ร้องไห้ ได้หัวเราะ ได้มีเซ็ก
อะไรก็แล้วแต่ ... ผมว่า เราล้วนทำในสิ่งที่ผมพบบนถนน
ระหว่างเดินไปรถไฟฟ้าใต้ดิน

เรากำลังเดินสวนทางกันไปมา ... เท่านั้นเอง

กันยายน 28, 2549

บทสนทนาเบาๆ กับพี่สิบเดซิเบล

คุย msn กับพี่สิบเดซิเบลครับ

(( CENSORED))

.0......................0.

และ wireless ผมก็หลุด
เปิดมาอีกที เฮียแกก็ offline ไปแล้วอะ

ช่วงนี้ อาจไม่ค่อยได้อัพ

ช่วงนี้ งานมา เลยต้องเอางานก่อน
ไม่ค่อยมีไอเดียร์มาลง blog เท่าไหร่
กำหนดส่ง RFP
วันศุกร์ (จริงๆวันจันทร์ แต่ไม่อยากมาทำเสาร์ ทิตย์)
เหลืออีก บาน

งานเยอะ ก็ยังแอบๆไปอ่าน บล็อคพี่ สิบเด อยู่
ยังดี มีไรคลายเครียด (หรือเครียดเพิ่มวะ)

กันยายน 25, 2549

หนึ่งคำ...

บางที คนเราต้องการเงียบ
เงียบในที่นี้ ไม่ใช่ไม่พูด
แต่พูดให้น้อย เพื่อรับฟังให้มาก

บางที ที่เงียบ ก็เพราะมีสาเหตุ
สาเหตุที่เกิดจากการรอ
รอคอยวันที่บางอย่างเริ่มต้น

บางที ความที่หลายๆอย่างไม่เหมือนเดิม
ก็อาจเกิดจากเราส่วนหนึ่ง
แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าคิดให้ดี

บางที การเริ่มต้น ก็ยากกว่าการเลิกลา
เพราะความคิดของคน ย่อมเห็นตัวเองดี
ไม่มีใครอยากยอมรับว่าตัวเองไม่ดี

บางที อาจมีคนคนนั้นก็ได้
ผมเอง

กันยายน 24, 2549

อ่านหนังสือ seasons change จบ เอามาเล่า



seasons change เขียนโดยเอา Fact มาเล่าในแบบ Novel โดยแบ่งย่อย ตัวละครหลัก 3 ตัวละคร อันได้แก่ ต้น ตัวผู้กำกับหนัง, บอล นักแสดงนำ เป็นป้อมในเรื่อง และ สุกรี อาจารย์สุกรี ผู้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาอย่างสุดยอดจริงๆ วิธีการเล่า สนุกมาก ขอบอก ไม่ผิดหวังเลย ผมใช้เวลาอ่านรวดเร็วเกินคาด อ่านจบราวๆ สองวัน ปกติผมอ่านหนังสือช้า ถ้าไม่สนุกจริง บางทีอ่านแล้วหยุด หยุดแล้วอ่านต่อ เป็นปี กว่าจะจบเล่มหนึ่ง แต่เรื่องนี้ recommend ครับ เขียนสนุก ไม่อิงปรัชญา แบบหนังสือ เบื้องหลัง โคตรรักเอ็งเลย ที่อ่านแล้วผมรู้สึกหนืดๆ อ่านแล้วช้ามาก (ยังอ่านไม่จบเลย ทั้งๆที่ซื้อมาก่อนนานแล้ว)

ผมไม่รู้ว่าคนแต่ง เอาความคิด ความรู้สึกของบอล มาจากไหน อาจสัมภาษณ์ หรือจากการสังเกต แต่เขียนได้ดีครับ เป็นมุมมองที่มีต่อเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เตรียมตัวมาว่า ชีวิตนี้จะได้แสดงหนัง เป็นพระเอก ตลกดี ตอนเล่าวิธีการฝึกให้น้องๆ ที่แสดง ลองเล่าดูว่า ตัวละครชื่อนี้ ชื่อนั้น เป็นอย่างไร โดยไม่ give a clue ว่าพวกนี้ เป็นใครในเรื่อง พอบอลมารู้ทีหลังว่า ตัวเองได้เล่นเป็นพระเอกของเรื่อง ถึงกับดีใจ แปลก! ตัวละครที่มาเล่น ไม่รู้ตัวว่าตัวเองจะได้เล่นเป็นอะไรเนี่ยนะ น่าสนุกดีแท้

แล้วก็ตอนที่ไปถ่ายกับพี่ป้อม อัสนี มีการทำ surprise น้องๆ นักแสดง เก็บฉากอ้าปากหวอ เป็นไรที่จี้ดี เหมือนกับจะบอกวิสัยทัศน์การมอง วิธีคิดของผู้กำกับต้นแล้ว คิดว่าไปไกลนะคนนี้ ไม่ธรรมดาๆ ส่วนอาจารย์สุกรี ทำผมทึ่ง ถ้าลูกโตแล้วชอบดนตรี คงจะส่งไปเรียนมั่ง เห็นความบ้าบิ่น ตั้งใจจริงแล้วรู้สึกว่าเมืองไทยน่าจะมีอะไร แบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี หนัง ทำอาหาร เขียนการ์ตูน อะไรก็ได้ ที่มันดูเป็นเรื่องไม่จรรโลงใจพ่อแม่ ที่มีความประสงค์จะให้ลูกๆ ได้โตมาเป็น วิศวกร แพทย์ อาชีพท๊อป 10 ของไทยน่ะ จะได้มีทางเลือกชัดๆ แจ่มๆ แบบนี้กันทั่วหน้า แล้วเราจะได้เป็นผู้นำของเอเชียในด้าน ART FORM เสียที !

กันยายน 23, 2549

วาดภาพด้วย mouse




วันนี้ เอาผลงานเก่าๆ ที่เคยโพสลงกระทู้
บอร์ดของพี่ปราบดา มาลงเล่นครับ
ใครไม่เคยดู ก็ได้ดูกันนะ
ชอบไม่ชอบยังไง เมนต์กันมั่งเน้อ :)

กันยายน 22, 2549

เขียน Email ตอบนิ่ม

From Nim
Hello Chai,Yes, I've played Indigo Prophecy.
I loved the first 90% of the game.. after that the story changes so abruptly like they've run out of budget. Still one of the best games I've played recently though. If you like action-adventure game, you should try Psychonauts. It's from the guy who made Day of the tentacle. It's one of the most humorous and imaginative games I've ever played. Both the story and gameplay are fresh from the beginning to the end. You can also find a free demo floating around on the web.

I probably will try Prince of Persia after I finish Psychonauts.Happy gaming!NimKamolchai

Nim,

Good news! Not so many good adventure games around.
============================================
Have you played INDIGO PROPHECY?
It is the best game in last six months I played. Recommended.
There is playable demo too if you want to try first.

PRINCE OF PERSIA: THE TWO THRONES.
A real good action-adventure with 3D movement (far better than prince of Persia 3D, that one is suck.).
I’ll re-play it again, as the first time I play with on-board graphic. Now I have GF6600, pictures look a lot better (I like the fog effect).

Another one that reminds me an old time, but it is FPS, not adventure game.
Scary F.E.A.R. It brings me back the feeling when I played the first game of Alone in the dark.

I want to try OBLIVION, but it requires too much la.

How about you? Have a good time for games?

Cheers,
Chai
........................................................
โหสุดยอดว่ะเพื่อนๆ ยังเล่นเกมส์กันอยู่เหรอเนี่ย
30 แล้วมิใช่เหรอนั่น
อืม จริงๆอายุก็ไม่เกี่ยวนะ จำความรู้สึกตอนเด็กๆ ความมันส์ตอนเล่นได้ไม่ลืม
แต่พอจับเกมส์แล้วเล่นไปซักพัก ความชราภาพทำพิษ
เลยไม่ได้เล่นเป็นตุเป็นตะได้อีกแล้ว (อาจเพราะประสบการณ์ทำให้มองอะไรเปลี่ยน)

จริงๆตอนอยู่เมกา ก็ซื้อเกมส์ Sam and Max มาจาก ebay นะ กะว่าจะเล่น
เกมส์ค่าย lucas art มีสองเกมส์มั้ง adventure ที่ไม่เคยสัมผัสเลย แม้แต่เปิดเกมส์
และคาใจตลอดเวลา คือเกมส์ sam and max แล้วก็ full throttle
ซึ่งพอซื้อมา มันไม่ support window ว่ะ แกร่งแท้ เล่นไม่ได้ กลายเป็น cd นอนแผ่
ทำไรบ่ได้เลย ฮ่วย

ถ้า sam and max จะ remake ก็เยี่ยมมากเลย อยากเล่นเหมือนกัน
เอ่อ เรายังซื้อเกมส์ที่ชอบอย่าง the longest jouney มาด้วย
ส่วน ภาค 2 ยังไม่ได้เล่น เลยไม่รู้เป็นไงมั่ง แต่ภาค 1 นี่ อ่านที่นิ่มวิจารณ์ในเวบ
นานแล้วเลยอยากได้ไว้ว่ะ แต่ก็เล่นไปกระจึ๋งเดียวเลิก (อย่างว่า แก่แล้วก็เงี้ย)

ตอนนี้เกมส์ในดวงใจ adventure คือเกมส์ circle of blood
หรือ broken sword ภาคแรก
เคยเล่นกันป่าวอะ ภาพสวย เก่าแล้ว แต่มัน classic มากๆ
สนุกกว่าเล่นเกมส์ไหนๆของ lucas เลย ประทับใจสุดๆ

อืมจะว่าไป ตอนนี้คิดถึงตอนเล่น ultima
จำได้ว่าเหมือนหลุดไปโลกในคอมพ์เลย จอเขียวๆ นั่นแหล่ะ
ไม่รู้ติดไปได้ไง เด็กสมัยนี้เกิดมาก็เล่นเกมส์ 3D เลย
คงไม่มีโอกาสได้ enjoy ความเขียวกัน
พูดไปแล้วก็น่าเสียดายเนอะ.. ฮ่วยยย

กันยายน 21, 2549

The Child (L' Enfant)



วันนี้ กะจะไปดู The host ที่สยาม แต่กลับพบว่า วันนี้มันเป็นวันพฤหัส เป็นวันอะไร ก็เป็นวันเปลี่ยนโปรแกรมหนังไง หนังใหม่ที่จะฉายที่โรงหนังสยาม ชื่อเรียบง่ายว่า World Trade Center แต่ผมไม่ดูล่ะ เซ็งเล็กน้อย แต่เพราะหนังที่น่าสนใจ และฉายรอบ 18.30 เหมือนกัน คือ l'enfant เนี่ย เข้าพอดีวันนี้ ก็เลยมั่วนิ่มไปดูซะ ไม่ได้รู้จักอะไร ไม่ได้ศึกษาเลย และก็พบว่า

ช่วงเวลา 1 ชั่วโมงกว่า ที่ได้ดูหนัง เป็นประสบการณ์ ที่ดีมาก หนังแม่งโคตร Realistic ไม่มีเพลงประกอบอะไร แต่ไม่มีความน่าเบื่อให้สัมผัสเลยแม้แต่น้อย ให้ตาย หนังบ้าอะไร โคตรจริงเลยครับ

ผมชอบมากๆ ไม่คิดว่าจะเป็นหนังที่เล่าเรื่องชีวิตวัยรุ่นที่มีลูก โดยอาชีพของคนพ่อ (ไอ้หนุ่มเสื้อเขียว) คือ ลักขโมย เอาไปขาย หากินไปวันๆ มีเงินก็ใช้เรียบ ไม่มีเก็บ ไม่รู้เมียรักได้ไง แถมอะไรรู้ไหม เมียคลอดลูก ชื่อน้องจิมมี่ อายุ เก้าวัน เจ้าบรูโน ตัวแสบ (ก็เจ้าพระเอก) เอาลูกไปขายครับทั่น เมียรู้ (โซเนีย) เป็นลม อ้าวเป็นลมซะงั้น แล้วบรูทำไง ก็ไม่ยาก ไปเอาลูกคืนเด้

แต่มันไม่ง่ายดายเช่นนั้น โอเค มันไม่ได้เอาเงินไปใช้เลย เงินที่ขายลูกมันน่ะ แต่ทำไมไม่ง่าย ก็เพราะคนที่ซื้อลูกมันไปขายต่อ ต้องขาดทุนไป 5000 ยูโร มันเลยให้บรูโนใช้หนี้ครับ แล้วโจรกระจอก ที่อายุยี่สิบ ไม่มีอนาคต ไม่มีที่อยู่ ไม่กลัวไรเลย ขอเงินก็ได้ นอนบนกล่อง ข้างถนน ลงไปแช่น้ำเย็น หนีคนที่ตามจับ มันจะทำไงได้ ... ไปดูเถอะ รับรอง

ชีวิตใครบัดซบ ไปดู จะรู้ว่า บัดซบน่ะ มีคนนี้อีกคน บัดซบจนเป็นหนัง และหนังมันดีมาก เพราะมันถ่ายความบัดซบจนเราไม่รู้สึกว่ามันเป็นหนัง แม่ง REAL จัดๆครับทั่น

กันยายน 20, 2549

the host

อยากดู the host แล้วล่ะ
ทำไงดี หนังก้อจะออกจากโรงแล้ว
เอางี้ นิดนึง พรุ่งนี้ไปดูตอนเลิกงาน
ถ้าได้ไปดู จะมาเล่าให้ฟังแล้วกัน
ถ้าไม่ได้ดู ก้อไม่เล่าให้ฟังแล้วกัน

ง่ายๆ .. :P

กันยายน 19, 2549

ปฏิวัติแล้วครับพี่น้อง

กำลังนั่งเล่น camfrog อยู่
เห็นคนในห้องคุยกัน
เลยเปิดทีวีดู
ถึงได้รู้ เอาแล้วไง
พรุ่งนี้จะไปทำงานได้ไหมเนี่ย

แม้วหมดเวลาแล้ว...สินะ

กันยายน 18, 2549

เสียงของการให้อภัย

เธอรู้หรือเปล่า ทำไมเราถึงได้รู้สึกว่าโลกนี้เป็นสีดำ
ก็เพราะการกระทำบางอย่างของเธอ
ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรม
....

โลกนี้มีเรื่องต่างๆมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เรามันลืม
การให้ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การให้ที่ดีที่สุด
นั่นคือ การให้อภัย
....

ต่อไปนี้ เราจะให้อภัยทุกอย่าง
ไม่ว่าการกระทำของเธอจะนำมาซึ่งความรู้สึก
ไม่ดี ทั้งที่มันอาจมาจากความตั้งใจ
หรือความไม่ตั้งใจต่างๆ ของเธอ
....

เราจะให้อภัยนะ เธอสมควรได้รับอย่างนั้น
มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว :)

กันยายน 17, 2549

The Shoe Fairy


วันนี้ ได้ดูหนังนิยาย ชีวิต โดยนักแสดง วิเวียน ชู ที่เป็นขวัญใจ
คนรุ่นๆผม (เธออายุมากกว่าผมปีหนึ่ง ตอนเธอดังนั้น ดังด้วยรูปนู้ด
ผมกำลังเรียนปีสี่เลย ตอนนั้นจำได้ นั่งหารูปเธอในเน็ต มันส์มากๆ)

เอาข้อมูลจากแผ่นพับมาเล่าให้ฟังก่อนแล้วกันครับ
หนังเรื่องนี้ อยู่ในโครงการ Focus:First Cuts
รวมงานผู้กำกับรุ่นใหม่จากเอเชีย สนับสนุนโดย
หลิว เต๋อ หัว เจ้าของ Focus Films

เรื่องนี้ กำกับโดย ผู้กำกับหญิงคนเดียวในโครงการ
โรบิน ลี จากใต้หวัน

ภาพของหนัง คล้ายๆ จะอยากเล่าออกมาให้หวานแหวว
เทพนิยาย น่ารัก องค์ประกอบศิลป์ ที่จัดได้ดีมากๆ
แต่เนื้อเรื่องกลับมองให้ลึก ตั้งแต่มุมดีๆ จนถึงมุมมืดของชีวิต
ทว่า มุมมืดเป็นมุมที่สอนให้เห็นมุมสว่าง และแก้ไขปัญหาทั้งหมด

แกะขาว แกะดำ และกล่องเจาะรู ทำให้นึกถึงเจ้าชายน้อย

ดูได้เรื่อยๆจนจบ ... ผมอาจไม่รู้สึกอินกับเนื้อหาของหนัง และระยะเวลากว่า 90 นาที ที่หนังฉาย
แต่บางครั้ง การที่เราให้เวลากับเรื่องต่างๆ
ที่เราชอบ ที่เป็นมุมมองของเรา
มากกว่าเวลาที่จะเอาใจใส่คู่ชีวิต
อาจทำร้ายเธอ หรือเขา โดยไม่รู้ตัว

เมื่อดูหนังจบ กลับบ้านแล้ว... รู้สึกว่า...
ควรพาภรรยาไปเดินเล่น ตลาดนัดจตุจักร
ก็เลยไป...กัน

:)

กันยายน 16, 2549

พรุ่งนี้จะไปดู the shoe fairy

ที่ House รอบเที่ยง
ถ้าไม่มีไรเปลี่ยนแปลง
คิดว่าคงไป
อยากดูหนัง house ไม่ได้ดูนานแล้ว

กันยายน 15, 2549

ถนนสายนี้ ยังมีไฟ

ขับรถออกจากวอชิงตัน ดีซี ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา ดำ
รถฟอร์ดเอสคอร์ท เก่าๆ สีเขียว รอยแผลรอบคัน มือสอง

วิ่งไปแวะไป ตามความปวดฉี่ และความง่วง
การแก้ง่วงคือ ดริ้งก์ คอฟฟี่ ตามเรสท์แอเรียร์

บางช่วงถนน ไฟริมทางไม่มี ... ขับกลางคืน เสียวโคตร
แถมมีแผนที่เก่าขาดอยู่อัน บางทีแผนที่ทำหลง เสียนี่
สุดท้าย ตาจะปิด ไม่ไหว ขอจอดนอนหลับ

เข้าที่จอดที่ใหญ่ๆ มีรถเยอะๆ กลัว เพราะช่วงนั้น
ข่าวไอ้โรคจิต ที่ยิงคนตามเรสท์แอเรียร์ มีอยู่

นอนหลับ เปิดกระจกแง้มๆ ไม่ต้องเปิดแอร์
หนาวอยู่แล้ว

หลับแบบทุลักทุเล ตื่นขึ้นมาอีกที น่าจะตีห้า
เดินลงจากรถ ร้านขายอาหารเช้า เปิดแล้ว ดริ้งก์ กาแฟร้อน กับ เบเกิ้ล
เบเกิ้ล คือขนมปังกลมๆ แบบโดนัท แต่เนื้อแน่นมาก
กินแล้วจะอิ่มท้อง ไม่กลวงๆ มีหลายรสให้เลือก

กินเสร็จ ขับรถต่อ ...

นาย วัน วัน

………………….
ผมรู้จักกับนาย วัน วัน ตอนที่ผมอยู่อเมริกา
จำได้ว่า ก่อนที่ นาย วัน วัน จะถือกำเนิด
วันอาทิตย์ ผมกับพี่โอม และเพื่อนชาวเจแปนนิส
เราอยู่ใต้ตึกเวิร์ล เทรด และมองขึ้นไป

“เดี๋ยววันหลังค่อยมาขึ้นแล้วกัน กลางคืนสวยกว่า”
พี่โอมพูดแบบนั้นกับผม ผมพยักหน้าเห็นด้วย
เพราะวันนั้น เรานั่งเรือไปชมเทพี เสรีเซ็นเตอร์ เอ๊ย เสรีภาพกันแล้ว
และได้ขึ้นตึกเอมไพร์...สไตรคแบ๊ก อีกต่างหาก
เรียกว่าเดินกันขาลาก

ผมเรียนอยู่รัฐข้าง ๆ ขับรถจากเมือง มาที่นิวยอร์ค ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ
ชอบจอดรถไว้ที่ย่านคนเอเชีย ฟลัชชิ่ง
เพราะแฟนพี่โอม อาศัยอยู่แถวนั้น และจอดรถได้ ฟรี
แต่ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ต่อเข้าไปแมนฮัทตัน
ประมาณสี่สิบนาทีมั้ง จำได้ว่านานเงก เหมือนกัน

โอเค ผมอดได้ขึ้นตึก เวิรลเทรด เพราะวันอังคารต่อมา... นาย วัน วัน ถือกำเนิด
เครื่องบินพลีชีพ (ตัวเองและผู้โดยสาร) สองลำ พุ่งชนกลางลำตึก
เธอล้มลง ทิ้งคละคลุ้งหมอกเศษปูนอิฐหินเลือด ของคนและสิ่งของ

มหาวิทยาลัยผมหยุดหนึ่งสัปดาห์ ถนน ไอ นายตี้ไฟฟ ประกาศปิด
ไม่ให้รถวิ่งเข้านิวยอร์ค เดือดร้อนกันทั่วหัวระแหง
นโยบายเกี่ยวกับคนต่างด้าว เริ่มรุนแรงรุกราม
ชีวิตเหมือนอยู่บนเส้นด้าย

จำได้ นั่งดู ซีเอ็น เอ็น ออกข่าว นาย วัน วัน ทุกวัน
ตลอดปีเลยเห็นจะได้

ชีวิตของคนอเมริกัน มีรังสีออร่า แห่งความเกลียดผุดไปทั่ว
คนที่โชคร้ายน่าจะเป็นคนที่มาจากประเทศตะวันออกกลาง
จนวันนี้ เวลาผ่านไป 5 ปี...

หนังเรื่อง World Trade Center ก็กำลังจะเข้าฉาย
คิดว่า คงไปดู ผมถือว่า มีส่วนร่วม (ไม่ไกล มาก) ด้วย
ในเหตุการณ์ ... นาย วัน วัน

กันยายน 14, 2549

ฤดูเปลี่ยน (Seasons Change) - เกือบถึง

……………………………………
บทความต่อไปนี้ ... ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ
ไม่ถูกใจ ไม่เห็นด้วย กรุณาอย่าด่า เพราะผมไม่ได้เป็นนักวิจารณ์หนัง
นอกจากนี้ ยังเปิดเผยเนื้อหาหนัง ถ้าอยากดูเอง ... โปรดผ่านไปเลย








การทำหนังเกี่ยวกับความรักโดยระบุวัยของตัวละคร
ให้อยู่ในช่วงวัยเรียน ที่กึ่งโต กึ่งเด็ก หรือจะเรียกว่า
เป็นช่วงวัยที่กำลังปลี่ยนแปลงจากความเป็นเด็ก
ไปเป็นผู้ใหญ่ ทำให้หนังมีจุดอ่อนที่ว่า ไม่สามารถสร้าง
อารมณ์โรแมนติกแบบสมบูรณ์แบบผู้ใหญ่ได้
เพราะติดขัดในเรื่องของศีลธรรม จริยธรรม ในสังคม
การที่จะให้เด็กม.ห้ากอดกันแสดงความรัก
แม้จะไม่ได้จบลงด้วยเซ็กส์ แต่ย่อมดูไม่ดีแน่นอน

ปัญหาคือ... อารมณ์ของหนัง ส่งให้ตัวละครสามารถสัมผัสกันได้
รักกันด้วยภาษากายด้วย ไม่ใช่แค่ภาษาใจ
มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า หนังทำให้อารมณ์รัก
ไปเกือบถึงจุดที่ควรไปถึง แต่ไม่ถึง... น่าเสียดาย

แต่เราจะไปตำหนิว่าบทหนังไม่ดีก็ไม่ได้ เนื่องจาก
กรอบของเนื้อหา ที่ระบุชัดเจนว่าเป็นเรื่องความรักแบบ
Puppy Love ไม่ใช่ Mature Love
แต่คุณๆที่เคยสัมผัสความรักแบบนี้
ผมเชื่อ...ไม่มีใครปฏิเสธหรอก ว่ารักแบบนี้ เป็นรักที่ไม่จริงจัง
ตรงกันข้าม ส่วนใหญน่าจะรู้สึกว่า รักแบบนี้เป็นรักจริง
และรุนแรงมาก ไม่แพ้รักในวัยที่พร้อมจะมีครอบครัวเลย

ดังคำกล่าวหนึ่ง ในหนังเรื่องลิเบอร์ทีน
ที่คุณตัว (ขายบริการ) ที่พระเอก(จอนนี่ เดปป) นอนด้วย กล่าวว่า
ในชีวิตของผู้ชาย จะมีความรักใหญ่ๆ สามครั้ง

ครั้งแรกคือความรักแบบปั๊ปปี้เลิฟนี้
ครั้งที่สอง คือความรักคนที่จะทำให้เราได้แต่งงานด้วย
และครั้งที่สาม คือความรักที่จะนำไปสู่ความตาย
(หมายถึงความรักที่มากกว่าความรักครั้งที่สองแต่เวลานั้น เราได้แต่งงานแล้ว)

หนังเสนอรักแบบปั๊ปปี้เลิฟ
รักที่วัยไม่พร้อม

แต่ก็จริง นี่เป็นรักที่เกิดกับเด็กๆ ทั่วไทย และทั่วโลก
มันมีจริง มันเป็นไปได้ และเข้าถึงได้ง่าย
อารมณ์ร่วมของเด็กวัยนี้น่าจะเยอะ และน่าจะส่งให้หนังขาย

แต่ปัญหา ถ้าหนังส่งสู่คนที่อยู่ในวัยที่โตหน่อย
จะมองรักแบบนี้อีกแบบ

...ทำไมเราไม่แสดงออกมากกว่านี้
…ตอนนั้น ถ้าเราพูดออกไปตรงๆ ถ้าเรา.. และอื่นๆ

ด้วยความที่ตอนนั้น ยังเรียน ขอเงินพ่อแม่
ไม่มีงานทำ ไม่มีความรู้
ยากที่จะคิดเรื่องความรักแบบจริงๆจังๆ

ถ้าตอนนั้น ณ จุดนั้น
มีตัวเลือกที่ดี มีคนที่รัก
แต่เพราะข้อจำกัด ทำให้ไม่กล้าที่จะแสดงตัว
อาจทำให้ชีวิต พลาดจากสิ่งที่ควรจะไม่พลาดไป

มันคือความพยายามพัฒนา รักสามครั้ง
จากรักครั้งที่หนึ่งไปเป็นครั้งที่สองด้วย
(ปั๊ปปี้เลิฟ --> คนที่จะแต่งงานด้วย)
ไม่นับครั้งที่สาม ที่ไม่แน่ว่าจะมีทุกคนไป
แต่ผมเชื่อว่ามีจริง คนที่ใช่กว่า มาเจอทีหลังเนี่ย
ว่าไปก็ธรรมดานะ โลกนี้มีเรื่องแบบนี้ทุกวัน

ว่ากันด้วยเรื่องความต่อเนื่องของหนัง ต่อดีกว่า
หนังเรื่องนี้ ค่อนข้างทำออกมาได้ลื่นไหล แต่ก็ยังติดขัดเล็กน้อย
จุดที่ขัดความรู้สึกพอสมควรที่รู้สึกได้ชัด
คือเรื่องการไปเล่นคอนเสริตส่งลาการลาออกจากวง แอชโฮ(ลี่)
ของตัวพระเอกในเรื่อง หลังจากบอกเพื่อนสนิททั้งสองว่า
จะลาออกเต็มตัว จะไปเล่นคลาสสิกแทน
ที่แปลกคือ มีนางเอกทั้งสองคนไปเต้นด้วย โดยเวลานั้นเป็นกลางคืน
นางเอกทั้งสองไม่ได้อยู่หอพักไม่ใช่หรือ (ถ้าจำไม่ผิด นั่งรถมา รวยด้วย)
มันเลยดูจะไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไหร่
อุปกรณ์ต่างๆที่เอาไปเล่น ขนกันไปเองเหรอ อันนี้ก็โอเค
แปลกใจอยู่บ้างแต่ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ แต่สรุป งงๆ
เหมือนกับโยนแก๊ก ไอเดียร์เข้ามาเพราะอยากให้มี
โดยไม่สมเหตุผลเท่าไหร่ จริงๆไม่ได้จับผิด
แต่มันเห็นชัดเองมากกว่า

ดารารับเชิญ..
ไม่ว่าจะเป็นแจ๊ค แฟนฉัน ที่มาเล่นแซก
ตอนพระเอกโทรศัพท์ปลอมตัวเป็นต้น ไปหานางเอก(ดาว)
ยังคงเส้นคงวา เล่นได้ตลกเหมือนเดิม
หรือแม้แต่พี่บอยด์ เบเกอรี่ ก็มาเป็นแขกรับ(ฟัง)เชิญ
ตอนวงคลาสสิก ที่พระเอกร่วมเล่น ได้แสดง
หรือจะเป็น พี่ป้อม อัสนี แห่งมอมิวสิก
ก็มาเล่นตอนจบ (ตอนแสดงเหตุการณ์หลังจากนั้น)

นิดนึง คำถาม...ที่ผมว่าคุณเองก็น่าจะถามตัวเองเหมือนกัน
หลังจากดูหนังจบแล้ว
ถ้าคุณเป็นพระเอกในเรื่อง
คุณจะเลือก อ้อม หรือ ดาว

...











สำหรับผม...

ผมเลือกอ้อม เหมือนในหนัง และจะมีฉากคุยเรื่องที่เคยทำผิด
ฉากเคลียร์ปัญหา และมองตากันด้วยความรัก
และจะมีฉากกอดกันด้วย (ด้วยความรัก ไม่ใช่ความใคร่)

ผมว่าหนังดีมาก แต่ไม่ถึง เพราะขาดสองฉากนี้แล :P

กันยายน 13, 2549

วันนี้จะไปดูหนัง Season Change

ตั้งใจว่า เลิกงานห้าโมงเย็น จะพุ่งไปเซ็นทรัลพระรามสาม
รอบที่ฉาย ห้าโมงสามสิบนาที
นับเวลาฉายหนังตัวอย่าง
ช้าสุดต้องนั่งเก้าอี้ ห้าโมงสี่สิบห้า
แล้วจะมาเล่าให้ฟังครับ :)

กันยายน 11, 2549

แวะคาร์ฟู รัชดา

เดี๋ยวเลิกงานละ
จาไปเดินคาร์ฟูรัชดา
หุยไปรอที่นั่นแล้ว
ถ้าเจอกันก็ทักทายกันได้นะครับ :P

ธุรกิจส่งออกแบบย่อม

เป้าหมายต่อไป.. ขายของในประเทศไทย ผ่านอีเบย์ดอทคอม ขั้นตอนการดำเนินการคือ วางตัวเองเป็นฝ่ายเทคนิคอล คอนซัลต์ ต้องไปศึกษากระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การรีจิสเตอร์เพื่อให้สามารถเป็นผู้ขาย และการวางร้านในเวบ การจ่ายเงินด้วยวิธีการต่างๆ เช่นเปย์พาล มีการคิดค่าธรรมเนียมอย่างไร ผู้ซื้อหรือผู้ขายต้องทำอะไรบ้างในการทำรายการ หรือแม้แต่การทำให้สินค้าหรือร้าน เป็นที่รู้จักและสามารถค้นหาพบได้อย่างง่ายดาย ต้องใช้วิธีอะไรบ้างเป็นต้น จากนั้น ขั้นตอนที่สองคือ ศึกษาตลาดว่า ตอนนี้ คนในเวบอีเบย์ นิยมซื้ออะไรที่มาจากประเทศไทย และจากนั้นก็ไปศึกษาต่อถึงแหล่งที่ขายของดังกล่าว พร้อมทั้งราคาต้นทุนที่จะซื้อ เมื่อได้ข้อมูลนี้ ก็ต้องไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับการส่งสินค้าไปต่างประเทศ ที่ไปรษณีย์ ว่ามีค่าใช้จ่ายอย่างไร คิดราคาตามอะไร และขั้นตอนสุดท้าย คือการลงมือทำ

สำหรับที่เวบไซต์ของอีเบย์เอง ได้เขียนวิธีการสั้นง่ายได้ใจความว่า
Prepare
List
Get Paid

ได้รับรู้มาว่า มีคนทำงานบริษัทเอกชน สองคน ลาออกจากงาน เพื่อเข้าสู่โลกของอีเบย์เต็มตัว การขายของเขา คือขายพวกหินมีค่า ทำกำไรดี จนออกจากงานประจำมาทำงานขายในโลกของ Cyberspace อย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้มีเวลาอยู่กับลูกได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ทั้งนี้ ยังเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ได้เป็นลูกจ้างในบริษัท หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

ฟังดูอาจเหมือนกำลังทำธุรกิจแบบแอมเวย์ หรือขายประกัน แต่ผมคิดว่าการขายของแบบ Globally นี้ เป็นการทำงานที่ท้าทาย และสนุก ซ้ำยังลงทุนไม่มาก แต่ข้อสำคัญที่สุด (ซึ่งเบสิกเสมอ) คือต้องซื้อสัตย์ ครับ ถ้าโครงการนี้เป็นไปได้จริง ... แล้วเราจะได้เห็นกัน ติดตามกันต่อไปครับ

กันยายน 10, 2549

10เดซิเบล

ใครคือ 10เดซิเบล
หลายคนสงสัยกันมาก
หนึ่งในนั้นคือ ผมเอง

นักเขียนลึกลับ กับลีลากระชากใจคนอ่าน
ด้วยเทคนิคพิเศษ ดูดสมุนไพรแทนข้าว
เขาจะเปิดเผยตัวให้ใครรู้หรือไม่ ต้องติดตาม
หรือเปล่า?

เวลาไม่ช่วยอะไรเลย

ความรู้สึกดีๆ .. ผ่านไปนาน มันก็ไม่เหลือค่าให้คนจำ
ความรู้สึกดีๆ .. ผ่านไปแล้ว ก็ผ่านไปเลย
ของที่เคยให้ .. อากาศ .. แอร์ .. อาหาร ..
บทสนทนา .. วันเกิด .. คำทักทาย .. คำบอกลา

สิ่งเหล่านี้ไม่มีค่า .. เพียงแค่เวลาผ่านไป
คนเรามักจำสิ่งดีๆ ไม่ค่อยได้
แต่สิ่งไม่ดี .. จำได้จำดี ไม่รู้เมมโมรี่ ความเลว เนี่ย กี่ G นะครับ
แต่ที่แน่ๆ เมมโมรี่ ความดี เนี่ย เป็นเหมือนวีดีโอเทป

จะเลิกใช้กันหมด ก็เพราะ เวลาผ่านไป
เทปยืด เอาไปเล่นไม่ได้แล้ว
ลืมหมด.. ทิ้งไปหมด .. ให้ตายเถอะ.. เนี่ยเหรอมนุษย์
และดันเป็นมนุษย์ที่เคยเป็นเพื่อนผมซะอีกเนี่ย
กำ...

กันยายน 09, 2549

น้ำใจเล็กๆน้อยๆ ยังมีในคนไทย

วันนี้เอารถไปเช็ค.. ตอนเข้าศูนย์เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ใจความ
"โช๊ก แตกค่ะ ต้องเปลี่ยน รุ่นนี้เปลี่ยน ..ต้องเปลี่ยนหมดเลย หมื่น สามพัน"
"อะไรนะ เมื่ออาทิตย์ก่อน เพิ่งเข้ามาเช็คครั้งใหญ่ สามหมื่นหก คุณไม่ได้เช็คเหรอ"
"..(เงียบ ไปคุยกับใครไม่รู้ มาอีกที เสียงคนละคน"
"คือ ตอนเช็คไม่ได้ดูเรื่องนี้ค่ะ ตอนนี้แตกแล้วต้องเปลี่ยน"
"คุณทำให้แตกหรือเปล่าครับ"

... สรุป ไม่ได้เปลี่ยน โมโห.. หาอู่ทำเองก็ได้

วันนี้ ตอนเช้า กะไปหาอู่..ซ่อมโช้ค. ราคาไม่แพงเท่าศูนย์
นาฬิกา ภรรเมียตั้งไว้ หกโมงครึ่ง
ตื่นแล้ว .. นอนต่อ ลุกอีกที แปดโมงครึ่ง
ทำนู่น ทำนี่ กว่าจะได้ออกจากบ้าน สิบเอ็ดโมงครึ่ง

แวะกินอาหารเช้า.. ปตท วิภาวดี ร้าน A&W
สั่งนู่นสั่งนี่ จ่ายไป เกือบสองร้อย
กาแฟร้อน วาฟเฟอร์ปลา ฟรายริง (เฟรนชฟราย แบบม้วน)
ฟิจดิป สลัด ไส้กรอก..
ไม่อิ่มเลย.. เสียดายเงินอ่า รู้งี้ ตื่นเช้า ออกไปกินโจ๊กสามย่าน ประชาชื่น

ขับไปที่ร้านชื่อ ไทร์พลัส อยู่ใกล้ทางแยก สุทธิสาร วิภาวดี
เจ้าของร้าน มีอายุ ออกมาต้อนรับ (เพราะรู้สึกจะเข้ามาผิดทาง)
บอกอาการ.. ลูกค้าไม่มี เอารถขึ้นเลย
ช่างสามสี่คน มารุมดู เรียกเราไปดู (นั่งรอในห้องเย็นๆ)

"ไม่เสียเลยครับ ใช้ได้ ถ้าเสียก็บอกว่าเสีย"
"..จริงเหรอครับ แล้วราคาเท่าไหร่ถ้าจะซ่อมที่นี่"
"..(ถูกกว่าที่ศูนย์..มากกก)"

ครับ น้ำใจคนไทยยังมีนะ ผมว่า ผมโดนศูนย์หลอก!

กันยายน 08, 2549

an inconvenient truth - โลกร้อน!

เมื่อวาน เลิกงาน นั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีสยาม .. ไม่ได้กลับบ้าน
ให้ภรรยาสุดที่รัก กลับไปนั่งเล่นคอมพ์รอที่บ้านก่อน .. จะดูหนัง
หนังที่ว่า มีฉายที่สกาล่าที่เดียว ชื่อเรื่องว่า an inconvenient truth

รอบที่ดู หกโมงครึ่ง ก่อนเข้าโรง .. ซัดข้าวหมูกระเทียม (สั่งไข่เจียว แต่คนขายไม่ได้ยิน)
กับเกาเหลาหมู .. หกสิบสอง บาทถ้วน (น้ำแข็งเปล่า สองบาท)

หนังฉายไม่ตรงเวลา มีโฆษณานิดหน่อย .. ต้องดูให้ได้ .. Death Note!

ครับ เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ผมแบ่งประเด็นการพูดถึงหนังเรื่องนี้เป็นสามส่วน
1. สาระ
2. การตัดต่อ
3. อัล กอร์

ส่วนแรก สาระ ผมให้ 90 เต็ม 100
อัล กอร์ ทำให้ผมทึ่งมาก เขามีปมในอดีต ที่ทำให้ สนใจจะช่วยโลกนี้
มันสมเหตุสมผลนะครับ ผมว่า ไม่รู้เรื่องนี้จริงมากน้อยแค่ไหน
แต่มันแรงพอนะ ถ้าจะเปลี่ยนชีวิตคนให้ทำงานเพื่อสังคม เพื่อโลก..
เขาเคยเกือบเสียลูกชายไป ...

เมื่อลูกชายรอดชีวิต เขาเปลี่ยนมุมมองโลก และการใช้ชีวิตที่เหลือ
จงลงมือทำ ... อะไรเพื่อโลก ไม่ใช่เพื่อเงิน
สาระที่มีในหนัง หนักแน่นมากๆ
ข้อมูลที่หามา ทำเอาตกใจ
ปริมาณ Carbondyoxide ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วงนี้
ทำให้โลกดูดซับแสงอาทิตย์แล้วสะท้อนกลับได้น้อยลง
ผลคือ น้ำแข็งละลายเร็วกว่าที่ควร ไม่มีโอกาสคืนตัว
ละลายแล้ว .. ละลายเลย.. น้ำก็ท่วมโลกสิครับ

ใช่ สาระยอดมากๆ แม้กระทั่งข้อมูลที่เป็นความลับทางทหาร
อัล กอร์ ก็ยังไปกล่อมเอามาได้ ..(ด้วยเหตุผลที่ดี)

สำหรับส่วนที่สอง การตัดต่อ
ผมรู้สึกการใช้วิธีตัดสลับ ทำให้หนังไม่น่าเบื่อ
มีจริงจัง ซีเรียส แล้วก็ผ่อนคลาย
ทั้งๆที่เนื้อหาหนักสุดๆ แต่ทำได้ดี
มันลงตัวมากๆ ถ้าจะให้พูดก็คือ
ตัดต่อเก่งครับ (ผมชอบมาก ให้ 95 เต็ม 100)

ส่วนสุดท้าย ตัวอัล กอร์
บรรยายเก่งมาก เป็นคนพูดจาหน้าเชื่อถือ
มุ่งมั่น สร้างสรรค์เพื่อโลก
ดูแล้วทึ่งครับ รู้จักเขา และความคิดของเขา ก็จากหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว
(ปกติไม่ค่อยรู้เรื่องการเมือง เท่าไร ค่อนข้างหลังเขา)

สรุป ควรดู ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร บนโลกนี้
ถ้าคุณยังอยากให้ลูก หลาน เหลน โหลน คุณ
มีป่าไม้ ธรรมชาติ และชีวิต ที่ดี ... กว่า หรือเท่า ที่คุณกำลังเป็น

กันยายน 07, 2549

ความจริงที่ไม่สะดวกสบาย

เดี๋ยววันนี้ ตอนเย็น ก่อนกลับบ้าน จะแวะไปดูหนังเรื่อง
aninconvenienttruth
หลังจากสนใจตั้งแต่ได้ยินกิตติศัพท์มา ใน trailor
ตอนไปดูเรื่อง ลิเบอไทน์ เมื่ออาทิตย์ก่อน

ที่ผมสนใจ คืออยากรู้ว่า ตอนนี้โลกเรากำลังโดนทำร้ายอย่างไรบ้าง
น้ำสูงขึ้น อุณหภูมิสูงขึ้น เท่าไร
ดูไม่ค่อยเหมาะกับหน้าเท่าไร แต่ใจรักครับ
นานๆ จะได้ไปดูหนังแบบสารคดี โดยคนที่ชวดป็นประธานาธิปดี สหรัฐ
อัล กอ... น่าจะเจ๋งใช้ได้เลย ใครดูแล้ว อย่าลืม comment มั่งอะ

บทเรียนราคาไม่แพง แต่เหนื่อยอะ

ได้โทรศัพท์ โอทู คืนแล้วครับเมื่อวาน
ต้องลงโปรแกรมใหม่หมดเลย แม้แต่ตัว Storage ก็โดนลบ
โชคดีที่เรา copy เก็บลง notebook แล้ว
ไม่งั้นไม่มี Backup ต้องลงโปรแกรมพื้นฐานใหม่หมด

ทีนี้ ก็เลยกะว่า จะลงโปรแกรมที่ชอบและใช้ประจำให้ครบ
แล้วจะ backup อีกครั้ง ทีนี้ เวลามันเดี้ยงจนต้อง Hard Reset
ก็จะได้ไม่ต้องปวดหัว ควานหาโปรแกรมสำหรับ Install อีก

แหะๆ

up blog yig yig (ยิก ยิก)

actually this is the very first day in this blog.
don't feel wonder why damn many posts.
energy is so strong right now.
maybe this is the right time to tell some stories.

anyway , love you all, thnks for reading !

:)

กันยายน 06, 2549

รอยสัก

ตอนไปเอาเครื่องที่ฟอร์จูน เห็นสาวเอวลอยจนเห็นรอยสัก
เซ็กซี่ดี แต่.. ตอนเธอทำ เธอคงเจ็บ ..
เจ็บที่อยากเจ็บ

ให้สักเอาไหม ไม่เอาหรอก เจ็บด้วย ผิวเราก็ไม่เหมาะด้วย
ขออยู่แบบนี้ดีกว่า เกิดมายังไง ก็เป็นยังนั้น
เหี่ยวเฉาตามวัย อ่อนแอตามวัย
ไม่เอารอยสัก :P

ซ่อมโอทู เสร็จ..มารับได้

O2 XDA Iii ซ่อมเสร็จแล้ว

เมื่อวานผมได้รับโทรศัพท์จากศูนย์ O2
เครื่องที่ส่งซ่อม (ไปประมาณอาทิตย์นึงได้) ตอนนี้..
ซ่อมเสร็จแล้ว

วันนี้ผมคงรีบเดินทางไปรับ เพราะ..ฟรี
ใช่ครับ เลยประกันมาสามวันพอดี แต่ศูนย์อนุโลมให้
รับประกัน 1 ปี เกินนิดหน่อย... หยวนๆ!

ก็ดีครับ เดี๋ยวเอากลับมา ต้องลงโปรแกรมใหม่หมด
เหนื่อยแน่ๆ คราวนี้คงต้องรักษาดีๆหน่อย
ไม่อยากให้หน้าจอเป็นอะไรอีกแล้ว
อาการคือ touch screen เจ๊งสนิท
กดแล้วไม่รับรู้อะไรเลย ฮ่วย

เลยต้องเอาเจ้าโนเกียตัวเก่า รุ่น 2100 กลับมาใช้ก่อน
วันแรกที่เอามาชาจไฟ พบว่า แบตเสื่อม
โทรได้ประมาณ 5 นาที.. ดับ

ก็ไม่รู้ว่าเพราะไม่เคยเอาออกมาใช้เลย หรือว่ามันเก่า
ก็เลย.. ซื้อใหม่ ที่ตะวันนา (ใกล้เดอะมอล์ บางกะปิ)
ซื้อมาวันอาทิตย์เลยครับ เพราะต้องพาหุย (ภรรยา) ไปตรวจร่างกาย
ใกล้ครบกำหนดคลอดเต็มทีแล้ว
ก็เลยแวะไปจอดแมคโครและเดินไปตะวันนา

เนี่ย ชาร์จไปสองไฟ เอง จะต้องกลับมาหา O2 อีกแล้ว
ทีนี้ จะทำไงกับโนเกียดีหว่า คิดว่าคงต้องเปิดเบอร์ใหม่ดีมะ
จะได้ใช้งานให้มันคุ้มๆหน่อยอะ

running boy

running boy เป็นหนังเกาหลีครับ
มีชื่อไทยว่า ปาฏิหารย์ รักจากแม่
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ เด็กชายที่เป็นโรค ออทิสติก
ที่แม่รักและห่วงใยมากๆ จนเธอลืมอะไรไปหลายอย่าง

ผมดูหนังเรื่องนี้เมื่อคืนในแบบพากย์ไทย
สนุกดีทีเดียว ได้เห็นการแสดงของนักแสดงที่เก่งดี
เล่นได้เอ๋อ เนียนดีครับ
ถ้าจำไม่ผิด คือคนที่เคยเล่นเป็นพระเอกในหนัง the classic

มีคำที่ผมชอบ พูดโดยโค้ชถอดใจ ของพระเอก
ที่กล่าวถึง เสือชีต้า เป็นสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุด แต่อายุสั้น
เพราะอะไรหรือ
เพราะมันวิ่งเร็วเกินไปไง

คนเราควรหันหลังมามองบ้าง ไม่ควรทะยานออกไปอย่างเดียว
เพราะนอกจากจะเหนื่อย และอาจตายเร็วแล้ว
ยังทำให้พลาด"โอกาส" ดีๆ ที่อยู่ระหว่างทาง
"คน" ดีๆ ที่ควรจะกลายเป็นเพื่อน เป็นแฟน เป็นพี่น้องร่วมสาบาน
หรือแม้แต่คนที่เป็นคนในครอบครัวก็ดี

ถ้าวิ่งเร็วไป ... กว่าจะรู้ตัว
นาฬิกามันก็ไม่หมุนกลับให้แล้ว

Freedom



มีเสียงย่ำเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ความกลัวคืบคลานตามมาติดๆ ผมกดปุ่มสีเขียวที่เท้า สองสามครั้ง เพื่อปรับค่าความรู้สึก ให้สามารถรองรับความหวาดผวาได้มากขึ้น ใช่แล้ว ผมมีชิบ อารมณ์ ความรู้สึก เพราะผมเป็นหุ่นยนต์ เสมือนคน ที่ผลิตขึ้นในปี พ.ศ. ๓๒๗๗ รุ่นแรก ที่ติดตั้งหน่วยความจำชนิดนี้ โดย ดร.จรัสพงศ์ ผู้สร้างผมและหุ่นรุ่นเดียวกันอีก สิบสองตัว เพื่อรองรับสงครามโลกครั้งที่เจ็ด โชคร้ายที่หุ่นยนต์สิบเอ็ดตัวที่เหลือ ต้องกลายเป็นเศษขยะโลหะ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง และผมก็มารับใช้งานของกรมดับทุกข์ ซึ่งเรียกกันว่า กรมตำรวจเมื่อพันปีก่อน
ผมกำปืนรังสี เจสิบหก แน่น ปืนชนิดนี้ใช้จัดการคนได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่เป็นผลร้ายต่อสภาพแวดล้อม ใช่สินะ ทุกวันนี้หาต้นไม้ยากเต็มที แม้แต่เรื่องการรบราฆ่าฟัน ก็ยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ผู้คนในยุคสมัยนี้ เกิดมาก็ต้องมีครอบแก้ว เพราะอากาศที่เลวร้ายเหลือขนาด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณถอดครอบแก้วออก ภายในเวลาห้านาที คุณจะเสียชีวิตทันที!
เสียงย่ำเท้ายิ่งใกล้เข้ามาอีก ผมรวบรามสติ (เป็นหน่วยความจำสำรอง ที่ติดไว้ในเยื่อสมองเทียมของหุ่นยนต์เสมือนคน รุ่น ทีทีทีสิบสอง) แล้วพุ่งตัวพร้อมเล็งปืนรังสีไปตามทิศทางของเสียงย่ำเท้า ทันทีที่ผมออกตัวได้ระยะไม่เกินสองเมตร เป้าหมายก็ปรากฏตัว เป็นคน ที่สวมชุดเกราะ ไม่ทราบว่าเป็นเกราะรุ่นใด ผลิตที่ไหน เมื่อไหร่ เพราะหน่วยความจำของผม ไม่มีข้อมูล ถ้าจะรอการดาวโหลดข้อมูลแบบไร้สาย ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบสองวินาที
ผมตัดสินใจยิงปืนออกไป ระบบเล็งอัตโนมัติ ตั้งเป้าไว้ที่ส่วนศีรษะ ซึ่งเป็นการยิงหวังให้เป้าหมายตายทันที เพื่อช่วยลดความเจ็บปวด เป็นกฎ ที่ฝังในหน่วยความจำถาวร ของหุ่นยนต์ทุกตัว ไม่สามารถแก้ได้ ถ้าหุ่นยนต์จะทำการทำลายร้างสิ่งมีชีวิต ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตอื่น หรือปกป้องอันตรายสิ่งมีชีวิตอื่น จะต้องทำลายที่ส่วนหัวเท่านั้น ไม่ให้สิ่งมีชีวิตที่เป็นเป้าหมายต้องเดือดร้อน ทรมานโดยเด็ดขาด มิฉะนั้น หุ่นยนต์ตัวนั้นจะถูกทำลายด้วยระบบทำลายตัวเอง ยกเว้นกรณีเดียวคือ ไม่ตั้งใจ!
ปืนที่ผมยิงออกไป โดนเข้าที่ศีรษะของคนในชุดเกราะอย่างจัง เสียงดัง "บึ้ม" ก้องไปทั่วห้อง เกิดแสงสว่างจ้า แม้เวลานี้จะเป็นเวลากลางคืนแล้วก็ตาม แต่ความสว่างประมาณสองสามวินาทีที่เกิด ก็ทำให้เห็นทุกอย่างภายในตัวตึกชัดเจนมาก
คนผู้ที่เพิ่งถูกแสงจากปืนรังสี เจสิบหก ความเข้ม สิบเอ็ด พีพีเอ ล้มลงกับพื้น แน่นิ่งไปทันที เมื่อผมใช้เครื่องแสกนสภาพมีชีวิตส่องดูร่างที่ไม่ไหวติงนั้นสักครู่ ก็พบว่า ตอนนี้ ความมีชีวิต ที่แสดงออกด้วยการเต้นของหัวใจ การไหลเวียนของเลือด ม่านตาที่เปิด และระบบหายใจ ทุกอย่างหยุดทำงาน ผมจึงค่อยๆปรับระดับความตื่นเต้นให้เป็นปกติ ก่อนเดินช้าๆ รอบคอบ ตามหลักสูตรที่ดีของหุ่นดับทุกข์แห่งกรมดับทุกข์ ไปยังร่างตายร่างนั้น
ทันทีที่ผมไปถึง มีเสียงเพลงเล็กๆดังออกมาจากส่วนหูของชุดเกราะ ซึ่งยังทำงานอยู่ แม้ชุดจะมีไฟคุ ด้วยความร้อนสูง ด้วยแรงทำลายของรังสีจากปืน เพลงนั้นเป็นเพลงเก่า เมื่อหลายพันปีก่อน มีเนื้อร้องเป็นภาษาไทย ซึ่งผมสามารถจับใจความได้ว่า"ให้มันแล้ว แล้วไป.."
ผมก้มลงเก็บระเบิดที่อยู่ในมือของอาชญากรผู้นี้ ซึ่งเตรียมไว้ต่อสู้กับผม และผมก็พบว่า มันเป็นระเบิดเวลาที่เหลือเวลาในการระเบิดอีกเพียงสามวินาที
ผมกดปุ่มที่เท้าอีกครั้ง มันคือปุ่ม หมดลมหายใจ.. ผมเป็นอิสระแล้ว!

คนไม่มีศาสนา

นั่งคิดเรื่องศาสนาเล่นๆ ผมสงสัยว่า
ทำไมคนบางคนถึงสามารถพูดได้เต็มปาก
ว่าตัวเองไม่นับถือศาสนาอะไรเลย

ผมไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ ว่าคนเราไม่ต้องการที่พึ่ง
สำหรับคนไม่มีศาสนา หรือไม่นับถือศาสนาใด
ผมอยากรู้ว่า พวกเขามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับความตาย
หรือแม้แต่เรื่อง ชีวิตหลังความตาย
ความกลัว ไม่ว่าจะกลัวสิ่งที่เห็นและไม่เห็น

สิ่งที่เห็น เช่น เวลาอยู่บนเครื่องบินที่ตกหลุมอากาศแบบหนักๆติดๆกัน
ถ้าคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย
ตอนนั้นจะคิดอะไรอยู่ในหัว
สำหรับผม ถ้าเจอแบบนั้น คงคิดถึงพระพุทธเจ้า
เพราะถ้าเกิดเครื่องบินตกไปจริงๆ อย่างน้อย
เราก็ได้ที่พึ่งทางใจ ว่าจะได้ไปที่ชอบที่ชอบ
ใช่ อาจพิสูจน์ไม่ได้
แต่ถ้าคนไม่นับถือศาสนาอะไรเลยเนี่ย
เขาจะคิดอะไร

สิ่งที่ไม่เห็น เช่น เวลานอนในห้องนอน ได้ยินเสียง
ได้กลิ่นธูป ไม่มีทางรู้เลยว่าอะไร แต่ขนลุก
กลัวผี ใช่ครับ สำหรับผม ถ้าเจอแบบนี้ คงคิดถึงพระพุทธเจ้า
และสวดมนต์ในใจ เพราะคิดว่าคงทำให้ผีกลัวและจากไป
แต่ถ้าคนไม่นับถือศาสนาอะไรเลยเนี่ย
เขาจะกลัวไหม หรือว่าไม่สนใจ
ไม่เชื่อ ไม่มี ไม่กลัว!

ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง ผมเชื่อมั่นและศรัทธาในศาสนา
ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน อาจทำชั่วบ้าง
แต่สุดท้ายก็ยังคงมีศาสนาเป็นที่พึ่งเสมอ

ผมคิดว่าเราเกิดมาในชาตินี้ (เรื่องชาติภพ ก็ต้องเป็นคนที่เชื่ออีก)
เราไม่สามารถรู้ทุกเรื่องได้
ถ้าเรื่องไหนที่เราไม่รู้
บางที ศาสนาอาจเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้ได้
ด้วยความสบายใจ
แม้ความตายอาจดูน่ากลัวสำหรับคนส่วนใหญ่
แต่คนทุกคนย่อมไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ศาสนาจึงดูเหมือนจะสำคัญมากสำหรับคนที่ไม่รู้อย่างผม
และคนอื่นๆ ที่ยังคงกลัว และมีกิเลส

(ในที่นี้ไม่เฉพาะเจาะจงศาสนาใด แต่รวมทุกศาสนา ว่าเป็นที่พึ่งของจิตใจครับ)

ความรู้เรื่องกล้องดิจิตอล

ขอเอาความรู้จากที่ทำงานมาปะหน่อยครับ (credit tueng+)

- หน่วยรับภาพของกล้อง digital รับภาพเป็น RGB ภาพที่ได้ประกอบด้วยแสงสี แดง-เขียว-น้ำเงิน
ในความเข้มต่างๆ กัน รวมออกมาเป็นภาพที่สวยงาม ....

ในรูปเมื่อวาน หน่วยรับสีเขียวจะมีมากสุดนะครับ

- การคุมแสงของกล้อง มีตัวแปรคือ

ความเร็วชัตเตอร์ เป็นค่าเวลานานที่เปิดชัตเตอร์รับแสง เช่น 1/60 sec, 1/125, 1/250, 1/500 ....
เปิดนาน (1/30, 1/15, ....) จะรับแสงมาก ภาพสว่าง แต่ระวังภาพไหวนะครับ
เปิดสั้น (1/250, 1/500, 1/1000) จะรับแสงน้อย ภาพมืด หยุดทุกสิ่งฉับไว ไม่ไหวติง ...

ขนาดรูรับแสง เป็นค่า F-stop ... f/1.4, f/2.8, f/4, f/5.6 f/8, f/11, f/16 ....
รูใหญ่ (f/1.4, f/2.8) รับแสงมาก ภาพสว่าง ... และชัดตื้น หน้าชัดหลังเบลอ ... หน้าเบลอหลังชัด ... (และเลนส์แพง)
รูเล็ก (f/11, f/16) รับแสงน้อย ภาพมืด ... ชัดลึก ชัดหมดเลยทั้งภาพ

ความไวแสงฟิล์ม หรือ ความไวแสง CCD นิยมหน่วย ISO เช่น 50, 100, 200, 400 ...
ความไวแสงน้อย ทำให้ต้องรับแสงมากๆ ... เช่น ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ช้าๆ หรือเปิด F-stop ใหญ่ๆ
ความไวแสงมาก ไม่ต้องรับแสงมากๆ ก็ได้ แต่มักจะมี "grain" หรือ "noise" ในรูป


- กล้องวัดแสงยังไง ?

กล้องสมัยนี้ มีเครื่องวัดแสงในตัว (ชนิดวัดแสงผ่านเลนส์ -- เรียก TTL)
ตำแหน่งที่กล้องมันจะวัดแสง อาจจะเป็น spot (วัดจากจุดเล็กๆ จุดเดียว) / center weight (วัดเฉลี่ยๆ ทั้งภาพ
แต่เน้นตรงกลางเยอะๆ หน่อย) หรือ วัดมันทั้งภาพ (เรียก mode evaluate, pattern, etc ... แล้วแต่ยี่ห้อ)

หน่วยความสว่าง เค้าเรียกเป็น EV

พอกล้องวัดแสงเสร็จ มันจะเอามาคำนวณเป็นความเร็วชัตเตอร์ รูรับแสง และ ISO ที่จะใช้
ใน mode auto (P, scene, etc ...) กล้องจะคิดให้เสร็จ คนไม่ต้องคิด

mode A หรือ Av คนตั้ง F-stop กล้องคิด speed shutter ให้

mode S หรือ Tv คนตั้ง speed shutter กล้องคิด F-stop ให้

mode M คนปรับหมดเลย ...

กล้องจะวัดแสงเทียบกับสีเทากลาง 18% (ทำให้ความสว่างภาพ ให้เท่ากับเทากลาง 18%)

ภาพมืด (under) หรือสว่าง (over) แค่ไหน ใช้ histogram ช่วยดูได้

กล้อง digital ... ถ้าถ่ายมา over เกินไป ... detail ของรูปมักหาย


- ถ่ายมาแล้ว over / under เกินจะทำไง

Photoshop CS2 ช่วยท่านได้
ปรับ level, ปรับ curve, ปรับ saturation ได้
ลบสิว ฝ้า กระ ถุงน้ำใต้ลูกกะตา ได้

อย่าลืมนะครับ Adobe Photoshop CS2 ....

บางที

เมื่อวันก่อน ผมพบกับเธอที่บริเวณศูนย์อาหารของอาคารข้างๆ เธอกำลังยืนต่อคิวเพื่อซื้อบัตรอาหาร ผมเดินอยู่ข้างหลังของเธอ ผมเธอยาวและหอมมาก ขนาดระยะห่างระหว่างเราสองคนจะไกลพอสมควร แต่ผมยังได้กลิ่นนั้น
เมื่อเธอแลกเสร็จ บัตรพนักงานของเธอหลุดตกจากสายคล้องคอ ผมก้มลงไปเก็บบัตรนั้น และกำลังจะเดินไปคืนบัตรให้เธอ แต่วินาทีนั้น เพื่อนผมก็ดึงเสื้อผมไว้และ บอกให้ผมหยุดก่อน มีเรื่องด่วนมากให้รีบกลับไปที่บริษัททันที ท่าทางเหนื่อยหอบแสดงว่าเพื่อนคนนี้วิ่งลงมา เพราะผมลืมหยิบโทรศัพท์มือถือลงมาด้วยนั่นเอง
"เอ่อ..เดี๋ยวนะ" ผมพยายามจะบอกแบบนี้แต่เพื่อนผมได้ลากผมไปเสียแล้ว มันคงเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ ในที่สุดผมก็ไม่ได้คืนบัตรเธอ
วันต่อมา ผมลงมาที่ศูนย์อาหารแห่งนี้อีกครั้ง บางทีผมอาจจะพบเธอโดยบังเอิญอีก และคืนบัตรนี้ให้เธอ แต่โชคไม่เข้าข้างเอาซะเลย เพราะผมไม่พบเธออีก ผมหยิบบัตรนั้นมาดูอีกครั้ง ตัวบัตรบอกชื่อของบริษัทไว้ชัดเจน
ผมเดินไปที่ประชาสัมพันธ์ และถามชั้นที่ตั้งของบริษัทดังกล่าว ผลปรากฏว่าไม่มีชื่อบริษัทนี้ในตึก ผมคิดว่าเธอคงเดินทางมาจากตึกอื่น เพื่อมาหาอาหารกลางวันทานที่นี่ หรือไม่ก็ เธออาจมาจากที่อื่นเลย แต่มาทำธุระที่ตึกนี้พอดี
บางทีผมอาจคิดมากไป สุดท้ายผมมองหน้าเธออีกครั้งอย่างอาลัย และทิ้งบัตรนั้นลงถังขยะ

ลองใจ

"เรามีเรื่องขอร้องเธอ"
"มีอะไรเหรอ"
"เรากำลังจะแต่งงานแล้ว เราอยากให้เธอเป็นคนแรก"
"หา.. ว่าไงนะ"
"เรารู้ว่าเธอเสียใจ แต่เราอยากให้เธอเป็นคนแรกของเราก่อนแต่งงาน"
"เอ่อ... "
"ไม่ต้องเอ่อ พรุ่งนี้เจอกันที่เจ้าพระยาปาร์ค"
ผมนิ่ง.. เธอวางสายไปแล้ว แต่ทุกอย่างยังคงสับสนในสมอง เธอเคยเป็นแฟนเก่าผม เราเคยรักกันมาก แต่เพราะเหตุผลที่ผมไม่รวย เธอจึงเลือกคนที่รวยกว่า ผมเข้าใจนะ.. แต่เจ็บชมัด
"เธอแน่ใจนะ"
วันต่อมา ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค
"แน่ใจ"
"เราว่า มันไม่ดีหรอก เธอควรให้เขาเป็นคนแรกนะ"
"ไม่ได้หรอก เรารู้สึกผิด เราอยากตอบแทนความดีของเธอ"
"ไม่เป็นไรหรอก เราไม่คิดอะไรแล้ว"
จริงๆก็คิดนะ โดนบอกเลิกเพราะจนเนี่ย
"เอาน่า เราตัดสินใจแล้ว"
เธอพูดและยิ้ม ผมก้มหน้า แต่ไม่รู้ทำไมน้ำตามันไหล
"ขอโทษนะ เราทำไม่ได้หรอก" ผมเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง
ก่อนที่ผมจะออกจากประตูโรงแรม มีมือเข้ามาจับที่ไหล่
"คุณเป็นคนดีมาก ผมเข้าใจแล้ว ทำไมเธอถึงเลือกคุณ ขอให้คุณทั้งสองโชคดี"
"..."
เธอวิ่งมากอดผม เธอกำลังร้องไห้ นี่เป็นเกมส์หรือ ผมไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังยิ้ม

Misogynic Man


เที่ยงคืนตรง เวลานี้ เงียบ ไม่มีสัญญาณใดๆของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ผ่านไปผ่านมา แม้แต่หมาข้างถนน ยังไม่ออกมาเดินเพ่นพ่าน มีเพียงเสียงลมพัดหญ้า เสียงจิ้งหรีด เสียงจักจั่น บางเบา สยดสยองจนขนหัวลุกชัน อ้อ ไม่สิ วันนี้พิเศษกว่าหน่อย เพราะมีกลิ่นเลือด...ของคน
แสงไฟจากหลอดไฟริมถนน พอทำให้เห็นหน้าตาสวยแต่ยับเยินของ โยเย เด็กสาวปีสองจากมหาวิทยาลัยเปิดมีชื่อเสียงกลางเมือง เธอนอนกองอยู่ข้างทางเข้าสู่หมู่บ้านของเธอ ตาเธอปิดและมีสีเขียวช้ำเหมือนสีมะนาวเน่า เสื้อชุดนักศึกษาโดนฉีกขาด กระดุมทุกเม็ดแยกจากกัน เสื้อในยังอยู่แต่ไม่เข้าที่ดีนัก ที่ปากเลือดไหลสีแดงเข้มข้นเหนียว และเริ่มแห้งกรัง ขาทั้งสองมีรอยเหมือนโดนเหยียบทับด้วยของหนัก เข่าเป็นสีเขียวเข้ม เนื้อตัวช้ำไปหมด ตัดกับสีขาวของผิว ทำให้เธอดูเหมือนซากเน่าที่โดนทำร้ายโดยอะไรบางอย่าง สลบเหมือบไม่มีสติ
ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบห้านาทีก่อน โยเยจับกระโปรงยาวแค่เข่า ก้าวขาลงจากรถแท็กซี่ คืนนี้เธอต้องเตรียมงานรับน้องใหม่กับเพื่อนๆ เธอเป็นเด็กกิจกรรมตัวเป้ง ร่วมมาแล้วทั้งงานกีฬามหา'ลัย งานปีใหม่ งานลอยกระทง งานวันแ ม่ งานวันเด็ก เรียกว่าเธอไม่เคยพลาด นอกจากจะป่วยจริงๆ ซึ่งนับครั้งได้
ระหว่างจุดลงรถแท็กซี่ เข้าสู่บ้านพักในหมู่บ้านชานเมือง ใช้เวลาประมาณสิบนาทีเดิน แต่เนื่องจากดึกมากแล้ว ผู้คนหลับไหล ถนนจึงไร้วี่แววคนที่จะทำให้ใจชื้น โยเย เดินจ้ำ ด้วยหวังจะให้ถึงเร็วๆ ในใจคิดว่า ถ้าให้ หมี เพื่อนชายที่สนิท มาส่งก็คงดี ไม่คิดว่าวันนี้ต้องดึกขนาดนี้ แถมยังโชคไม่ดี คนไม่มีเลย แสงไฟก็ไม่ค่อยสว่าง น่ากลัวมาก
"พลั่ก" วูบแรกที่เธอรับรู้ก่อนหมดสติคือของแข็งเหมือนไม้ สับมาที่ศีรษะทางด้านหลัง และภาพก็ดับเป็นสีดำ เธอล้มตัวลงกับพื้นไม่มีสติอีกนับจากนั้น และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


เวลาผมมองผู้หญิงผิวขาวในชุดนักศึกษา ผมจะเห็นใบหน้าของปีศาจ มันคือปีศาจที่มีเขี้ยวยาว เล็บดำ แยกเขี้ยว และกางแขนออก พร้อมจะกรีดเล็บอันยาวใส่ มันน่าเกลียดน่ากลัวเป็นที่สุด ผมขยะแขยงและหวาดกลัวเสมอที่ต้องเผชิญหน้า ยิ่งถ้ามีหน้าตาสวยในสายตาคนอื่นเท่าไหร่ ภาพจะกลับตาลปัตรสำหรับผม เพราะผมจะเห็นใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์แทน เมื่อผมบอกเพื่อน ทุกคนก็ลงความเห็นว่าผมบ้า และควรไปหาหมอรักษาโรคอาการป่วยทางจิตนี้เสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งผมไม่เคยเชื่อเพื่อนหน้าไหนทั้งนั้น เพราะผมเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ผมเห็น เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ผมไม่เคยมีแฟน แม้จะเคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงที่อายุมากกว่ามาแล้วสามคน ส่วนใหญ่จะเข้ามาหาผมก่อน และมักจะผิวคล้ำ รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวยในสายตาของคนส่วนใหญ่ ซึ่งผมจะเห็นว่าสวย มีเสน่ห์ แต่ผมไม่ได้รัก ผมไม่เคยรักและไม่รู้ว่ารักคืออะไร ผมรู้จักแต่เซ็ก มันคือการปล่อยของเหลวออกจากร่างกายโดยคนต่างเพศสองคน ใช้อวัยวะของตัวเองทำกิจกรรมบางอย่าง โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจว่าทำไม หรืออะไร แค่รู้สึกก็พอ การมีเซ็กกับหญิงที่เข้ามาขอให้มีเซ็กด้วย เป็นสิ่งที่เคยเกิดกับผม และผมก็ยินดีกระทำ ผมไม่ใช่เกย์
ผมอาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง พ่ อ กับแ ม่ เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ไม่มีญาติ พี่น้อง ใดๆให้ห่วงหา อยู่กับตัวเอง ทำงานบริษัท กินเงินเดือนไปวันๆ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่เหงาเกินพอดี แต่ก็ไม่เฮฮา กับใครเป็นพิเศษ ออกจะเป็นชีวิตที่ดูราบเรียบไม่มีอะไรหวือหวา จนคืนหนึ่ง คืนที่ผมทำเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต
เรื่องร้ายแรงที่ว่า อาจเป็นเรื่องที่ไม่มีใครให้อภัยผมได้ และอาจต้องโดนประหารชีวิต "ฆาตรกรรมเด็กสาวอายุไม่เกิน 20 ปี ตอนเที่ยงคืน" คือสิ่งที่เกิดกับผม โดยที่ผมไม่รู้ว่าทำไปทำไม เพราะอะไร ไม่เข้าใจ แค่รู้สึก...


ณ เวลาห้าทุ่มแก่ๆ จวนเจียนเที่ยงคืน ที่ แมนชั่น สีออกตุ่นๆ สูงสิบชั้น พิกัดหน้าต่างของห้อง 901 ชั้นเก้า ถ้าคุณมองขึ้นมาจากข้างนอกจะเห็นแสงสะท้อนวาวเลนส์กล้องส่องทางไกล กล้องนี้ ขยายได้ 32 เท่า เป็นไนท์วิชั่น ที่ช่วยให้การแอบดูของ เต้ย เด็กหนุ่มกลัดมันวัยสิบหกเป็นไปได้อย่างราบรื่น ทุกคืน ช่วงเวลาประมาณ ห้าทุ่ม ถึง ตีหนึ่ง จะเป็นเวลากิจกรรม สอดแนม และ คืนนี้ก็เช่นกัน เต้ยส่อง ขึ้น ส่องลง มุมสูง จบลงที่มุมล่างซึ่งเป็นมุมที่ไม่ค่อยส่องเท่าไร เนื่องจากไม่เคยส่องแล้วเห็นอะไรที่ชวนมอง ออกจะว่างโล่ง ไร้สิ่งดึงดูด แต่คืนนี้ สิ่งที่เห็นทำให้เต้ยสะดุ้งเฮือก ร่างกระตุก ลมหายใจติดขัด หัวใจเต้นระรัว เหงื่อแตก แม้ร่างกายไม่มีอาภรณ์ใดๆ สวมใส่ขณะทำกิจกรรมละอายใจนี้ แถมห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ ยี่สิบองศา ด้วยเป็นลูกคนรวยจากต่างจังหวัด ถูกส่งมาเรียนที่กรุงเทพ ให้อาศัยอยู่คนเดียว ไร้คนรบกวน
ภาพที่เต้ยเห็น คือ หญิงสาว ดูจากเสื้อผ้าที่แต่ง น่าจะกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย กำลังโดนชายรูปร่างผอม ผิวขาว สวมแว่นตา เอาไม้สามหน้าฟาดที่หัวของเธอจนเธอล้มลง ชายหนุ่มผู้นั้น สวมเสื้อเชิ้ทสีน้ำเงิน ไม่ผูกเน็คไทน์ กางเกงผ้าสีดำ แต่เห็นหน้าไม่ชัดนัก เพราะแสงสว่างจากไฟริมทางไม่มากพอ หลังจากที่สาวผู้นั้นล้มลง คว่ำหน้า ชายหนุ่ม จับเอาขาของเธอแยกออกจากกัน จนล่นกระโปรงลงเผยให้เห็นถึงกางเกงชั้นในสีขาว ในใจของเต้ยคิดไปว่า นี่คงเป็นการข่มขืน มันทำให้สมองของเต้ยสับสน ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดีกับสิ่งที่เห็นผ่านสามสิบสองเท่าขยายในรูเข็มเล็กๆนี้
ใจนึงคิดอยากหาทางช่วย โทรไปแจ้งตำรวจ แต่อีกใจก็กลัวอดดูฉากสยองปนตื่นผงาดของร่างกายนี้ ทำให้เต้ยไม่อาจละสายตาออกจากรูส่องได้แม้อึดใจ พลันสิ่งที่เห็นทำให้เต้ยห่อเหี่ยวแทบจะทันที อาการเสียวสยองต่างๆหายหมดสิ้น เมื่อชายผู้นั้น เอาเท้าเหยียบที่หัวเข่าของสาวน้อยชะตาขาด ไม่สิ ต้องเรียกว่ากระทืบเท้าไม่ยั้ง นับครั้งไม่ถ้วน ทั้งสองข้างเข่า จากสีขาว เริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำปนแดง เลือดไหลออกจากเข่า และถ้ามองไม่ผิด เต้ยเห็นน้ำใสไหลออกจากหว่างขาของเธอด้วย
หลังจากภาพการกระทืบเท้าจบลง อาการหอบพักใหญ่ก็ตามมา ชายหนุ่มเอามือทั้งสองเท้าที่เข่าตัวเอง หลังงอคุ้ม อ้าปาก ผ่อนลมเข้าออกเร็วแรง แสดงความเหนื่อยออกมาอย่างเปิดเผย เพราะคงคิดว่าไม่มีคนเห็น ใช่ ก็ไม่น่าจะมีคนเห็นจริงๆ นอกจากเต้ย ที่เห็นโดยไม่ควรเห็น และเห็นจากมุมมองที่สูงขึ้นไปเก้าชั้น ห่างออกไป ประมาณ ห้าร้อยเมตร
หลังจากหอบไม่นาน ชายชุดน้ำเงินก็พลิกร่างกายที่สลบไสลของสาวชุดนักศึกษา ให้หงายหน้าขึ้น กระชากเสื้อแยกออกจากกัน กระดุมทุกเม็ดแยกออก แต่ไม่ได้ถอดออก เขาคงอดใจในความกลมกลึงของเนินอกไม่ได้ จึงเอามือทั้งสองบีบเค้นรุนแรงที่สองประทุม แล้วจึงจบลงด้วยการเอาบุหรี่ที่คาบในมุมปากตลอดการดำเนินการจี้ไปที่สายเสื้อในจนขาด และถึงเนื้อ ทำให้เนื้อส่วนนั้นไหม้ เต้ยสะอึก เขาไม่สามารถทนดูสภาพโหดร้ายขนาดนี้ได้ อาการหื่นกระหายประจำคืนหมดลงอย่างผะอืดผะอม และตัดสินใจยกเลิกกิจปฏิบัติการของคืนนี้ทันที เขารีบปิดม่าน และกระโดดผึงขึ้นเตียงนอน ห่มผ้าคลุมโปง ไม่สนใจใยดีกับเหตุและผล สำหรับพลเมืองดีอีกต่อไป... คิดแค่ว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า ไปโรงเรียน

สุดท้ายก็ว่างเปล่า


มีเพียงเสียงสายฝนบางเบาล้ำเส้นเข้ามา ร่องหูของเมย์ถูกปกคลุมหมดจดด้วยหูฟังรูปทรงกลมแบบเกี่ยวหู ยี่ห้อโซนี่ เชื่อมต่อกับช่องเสียบสายหูฟังของเครื่องเล่นไฟล์เพลงเอ็มพีทรี ไอพ๊อดนาโน รูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าบางเบา สีขาว ตัวเครื่องเล่นสวมอยู่ในปอกกันกระแทกขนาดเล็กกระทัดรัด ปากของเธอเม้มแน่น ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นคราบน้ำตาที่แก้ม
"เราเลิกกันเถอะนะ พี่คิดว่าเราสองคนคงไปกันไม่ได้" เมื่อสิบห้านาทีก่อน คำพูดของเคนผ่านออกมาจากโทรศัพท์มือถือแบบพ็อกเก็ตพีซี ยี่ห้อโอทู รุ่นอะตอม เอ๊กเซ็กแบบนี้ สามปีที่ทั้งคู่คบหากันในฐานะที่เกินคำว่าเพื่อนร่วมงานจบลงง่ายๆแค่นั้น โดยที่เมย์เองก็ไม่คาดคิด เพราะไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ทำให้ทั้งสองคนต้องทะเลาะกันเลยตั้งแต่วันแรกที่คบหา
"ทำไม.. ทะ.." ยังไม่ทันที่เมย์จะพูดจบ เคนกดโทรศัพท์ทิ้ง และปิดเครื่อง ภาพเก่าๆ ที่ทั้งสองเคยอยู่ด้วยกัน โรงหนังที่เคยไปดู ร้านอาหารที่เคยไปดินเน่อร์ใต้แสงเทียนสลัวเหมาะกับการออเซาะ
"ลาก่อน...คนเลว" เมย์คิดในใจคนเดียว แต่มันก็คงเป็นเพียงการด่าทอในใจโดยไม่รู้สาเหตุ เพียงปริศนาที่รอการเปิดเผยจากเคน ทำให้เมย์สับสน ความต้องการที่แท้จริงของชีวิต อนาคต ครอบครัว การแต่งงาน ทุกอย่างดูเหมือนจะสลายหายไปกับสายฝนที่กำลังตกอยู่นอกหน้าต่างออกไป
วิวทะเลสวยของหาดบางแสนมองจากโรงแรมเดอะไทด์ รีสอร์ต ที่เที่ยวกับครอบครัวประจำวันหยุดของเมย์ ต้องกลายสภาพเป็นสถานฟื้นฟูจิตใจเสียแล้ว อีกกี่นาที กี่ชั่วโมง กี่วัน กว่าเธอจะได้กลับกรุงเทพ เพื่อไปหาและเคลียร์เรื่องทั้งหมดกับเคน ใจเธอที่เบาหวิวตอนมาถึงที่พัก กลับกลายเป็นหนักอึ้งปานมีภูเขาทับอยู่..
เท่านั้นเหรอ.. สิ่งที่รักแท้ ตอบแทนให้เธอ ความทุ่มเทที่ไม่เคยหมดสิ้นกับความรักและความเชื่อใจที่เธอมีกับเคน กับแค่คำพูดสองสามประโยค แล้วกดสายทิ้งเนี่ยนะ
สุดท้ายความรักของเมย์คือความว่างเปล่า และความว่างเปล่า นั่นแหล่ะคือสิ่งเดียวที่มั่นคง ก่อนหน้าที่เธอจะรู้จักกับเคน เพื่อนร่วมงานที่แสนดี พบกัน ทำงานที่เดียวกัน ตกลงเป็นคู่รักกัน แล้วก็จบลง.. ความว่างเปล่าซ่อนเร้นอยู่ในนั้นเสมอ เพียงแต่ห้วงเวลานั้น มันช่างหายากมาก เพราะใจเธอมีเคนเติมเต็มจนแยกไม่ออก.. แต่ก็ไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว
จะว่างเปล่า หรือเติมเต็ม ไม่มีเขาคนที่เธอรักอีกแล้ว ทำอย่างไรดี..

ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบนาทีก่อน ในห้องเช่าเก่าโทรม ย่านสุขุมวิท บรรยากาศในห้องอับ ฝุ่นผงปกคลุมไปทั่วบริเวณ ภายในห้องมีแสงน้อยนิดเล็ดรอดเข้ามาได้ แม้เวลานั้นจะสายแล้ว แต่ม่านสีม่วงเข้มถูกแผ่เต็มบานหน้าต่าง ทำให้ห้องดูมืดหม่นเหมือนเวลากลางคืน
"โทรไปหาเมย์ แล้วพูดซะ ไม่งั้นตาย" เสียงขู่ของชายใส่หน้ากาก ที่ถือปืนพกขนาดกระทัดรัดเก็บเสียงจ่อขมับของเคน ซึ่งถูกจับมัดอยู่บนเก้าอี้ทั้งแขนและขา ใบหน้าเขียวช้ำ เพราะโดนซ้อมก่อนหน้านี้มาพอสมควร
"เราเลิกกันเถอะนะ พี่คิดว่าเราสองคนคงไปกันไม่ได้" เคนปล่อยเสียงปกติ ผ่านโทรศัพท์มือถือโนเกีย รุ่นเอ๊นแปดสิบ พยายามปกปิดความเจ็บปวด และพิรุธ เพราะนั่นหมายถึงการถูกเป่าสมองกระจายในห้องที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตั้งอยู่ที่ไหน และมาถึงที่นี่ได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่า ถูกของแข็งตีเข้าที่ศีรษะ ภาพต่อมาคือมืด และลืมตามาก็โดนบาทากระทืบเข้าที่ร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า
ขายใส่หน้ากากกระชากโทรศัพท์รุ่นใหม่ของเคนออกแล้วเขวี้ยงลงพื้นอย่างแรงจนกระจุยกระจาย
"แกต้องการอะไร" เคนเค่นเสียงเท่าที่จะทำได้
"..มีสิทธิ์อะไรในตัวเธอ!!" เสียงโกรธเกรี้ยวดังกังวานสวนกลับทันที พร้อมๆไปกับหมัดลุ้นๆ โถมเข้าที่ดั้งจมูก เลือดกำดาวที่เพิ่งหยุดไหลของเคน กลับมาไหลอีกครั้งเหมือนน้ำฝนที่กำลังตกอยู่ที่บางแสน
"เมย์.. พี่ขอโทษ" เคนคิดในใจ วูบสุดท้าย ก่อนที่สลบเหมือบไปพร้อมบทสรุปสุดท้ายของร่างในภพนี้ ลมหายใจที่เคยมีเพื่อเมย์กำลังหยุดลง หัวใจที่เคยมีเมย์อยู่ทุกห้องกำลังหยุดเต้น
ทุกอย่างกลับสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง ชีวิตเริ่มต้นจากความว่างและกลับสู่ความว่าง...

การสร้างสรรค์มักเกิดกับเราเวลาได้รับการกดดัน

ผมไม่แน่ใจว่ามีคนที่คิดเหมือนผมหรือเปล่า
แต่สำหรับผม ผมคิดว่าผมเป็น
เวลาจะแต่งเพลงซักเพลง วาดรูปซักรูป หรือเขียนการ์ตูน
ช่วงเวลาสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ คือเวลาที่ผมต้องอยู่ในภาวะกดดัน

กดดันที่ว่า คือต้องทำอะไรบางอย่างอย่างไม่เต็มใจ
คือ คนกำลังทุกข์ จะมีแรงผลักดันให้หนีออกไปจากที่นั่น
ตอนเรียน เป็นเวลาที่ผมทำงานสร้างสรรค์ได้เยอะ
ผมรู้สึกว่าการเรียนเป็นการกดดันตัวเองอย่างหนึ่ง

ผมแต่งเพลงได้หลายเพลงมากช่วงนั้น
ตอนมีความสุข ผมไม่สามารถทำอะไรได้มาก
ผมจะปล่อยเวลาให้เลยผ่านไปเรื่อยๆ
เสพงานคนอื่น ทำอย่างอื่น เสียมากกว่า
แต่ก่อน เวลาเรียน ผมจะใช้วิธีทำงานอื่นๆ
เพื่อเป็นข้ออ้างในการไม่อ่านหนังสือ
ผมเขียนเพลงดีๆ และสามารถอัดมันด้วยคอมพิวเตอร์
ทำทุกๆส่วนของเพลง ตั้งแต่เสียงร้อง ยันเสียงกลองสงเคราะห์
ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เมื่อเอากลับมาฟัง
บางครั้งผมก็รู้สึกว่า ตอนนั้นทำได้อย่างไร

ผมมักชื่นชม คนที่สามารถสร้างผลงานได้เรื่อยๆ
ไม่ว่าอยู่ในสภาวะแบบไหน
ไม่ว่าจะสุข หรือทุกข์
ก็สามารถทำงานสร้างสรรค์ออกมา

ข้อนี้อาจเชื่อมโยงไปถึงศิลปินแขนงต่างๆ
ที่มักมีชีวิตรักที่ไม่ราบรื่น
เพราะบางที ความสมหวัง ก็เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์

ตอนนี้ผมรู้สึกว่า ผมจะต้องเริ่มบังคับตัวเองให้ทำงานบ้าง

ผมหวังว่าก่อนตาย หรือคนเราเกิดมาเนี่ย
จะต้องสร้างสรรค์ผลงานให้โลกนี้มากๆ
ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์
สำหรับผม ผมชอบที่จะทำเพลง , แต่งเรื่อง, วาดรูป
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่เคยทำจนสำเร็จ
นั่นคือทำหนัง ที่ผมจะทำทุกอย่างเอง
ตั้งแต่ เขียนบท ถ่ายทำ ตัดต่อ ทำเพลงประกอบ หรือแม้แต่แสดง!

ตอนนี้ผมไม่มีอะไรกดดันมากนัก ชีวิตก็มีปัญหาบ้าง
แต่ผมไม่ค่อยมีแรงขับดันเท่าไร ไม่รู้ทำไม
อาจเป็นเพราะ มีคู่ชีวิตแล้ว ... แต่ก็นะ มันเป็นข้ออ้างมากกว่า

"ถ้ารักจริง ต้องทำได้" ใครบางคนในโลก กล่าวไว้ (มั่ว)

libertine

can i ask you a dumb question?
do you be leaded by a kind of art, like a film?
watching some movies can inspire my act.


like a few weeks ago, i went to lido theatre in siam square.
i watched a film staring jonny depp, "Libertine".
he stared a british play writer.
he wrote a play and also taught an actress.
there some great words from him to his actress (also became his mistress, 3rd true lover)

he told her that "now people may laugh at you.
there are only 2 kinds of people among them.
first is stupid people, in 5 years from now they will understand you and adore you.
second is envy people, they will hate you always and never understand who you are."

so that makes sense to me.
when you do something and people start to criticize you, you should be confident.
it's very true that not everyone can understand you at first.
even though you do the right thing and good thing, they still complain.
why? because they are stupid. or they envy you.

so do not afraid of being proud to yourself.... remember!!!

stop whispering ... start shouting (radiohead - song "whispering")
that helps me because i always think that to be yourself is not so easy
but someone else is much easier.