กันยายน 14, 2549

ฤดูเปลี่ยน (Seasons Change) - เกือบถึง

……………………………………
บทความต่อไปนี้ ... ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ
ไม่ถูกใจ ไม่เห็นด้วย กรุณาอย่าด่า เพราะผมไม่ได้เป็นนักวิจารณ์หนัง
นอกจากนี้ ยังเปิดเผยเนื้อหาหนัง ถ้าอยากดูเอง ... โปรดผ่านไปเลย








การทำหนังเกี่ยวกับความรักโดยระบุวัยของตัวละคร
ให้อยู่ในช่วงวัยเรียน ที่กึ่งโต กึ่งเด็ก หรือจะเรียกว่า
เป็นช่วงวัยที่กำลังปลี่ยนแปลงจากความเป็นเด็ก
ไปเป็นผู้ใหญ่ ทำให้หนังมีจุดอ่อนที่ว่า ไม่สามารถสร้าง
อารมณ์โรแมนติกแบบสมบูรณ์แบบผู้ใหญ่ได้
เพราะติดขัดในเรื่องของศีลธรรม จริยธรรม ในสังคม
การที่จะให้เด็กม.ห้ากอดกันแสดงความรัก
แม้จะไม่ได้จบลงด้วยเซ็กส์ แต่ย่อมดูไม่ดีแน่นอน

ปัญหาคือ... อารมณ์ของหนัง ส่งให้ตัวละครสามารถสัมผัสกันได้
รักกันด้วยภาษากายด้วย ไม่ใช่แค่ภาษาใจ
มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า หนังทำให้อารมณ์รัก
ไปเกือบถึงจุดที่ควรไปถึง แต่ไม่ถึง... น่าเสียดาย

แต่เราจะไปตำหนิว่าบทหนังไม่ดีก็ไม่ได้ เนื่องจาก
กรอบของเนื้อหา ที่ระบุชัดเจนว่าเป็นเรื่องความรักแบบ
Puppy Love ไม่ใช่ Mature Love
แต่คุณๆที่เคยสัมผัสความรักแบบนี้
ผมเชื่อ...ไม่มีใครปฏิเสธหรอก ว่ารักแบบนี้ เป็นรักที่ไม่จริงจัง
ตรงกันข้าม ส่วนใหญน่าจะรู้สึกว่า รักแบบนี้เป็นรักจริง
และรุนแรงมาก ไม่แพ้รักในวัยที่พร้อมจะมีครอบครัวเลย

ดังคำกล่าวหนึ่ง ในหนังเรื่องลิเบอร์ทีน
ที่คุณตัว (ขายบริการ) ที่พระเอก(จอนนี่ เดปป) นอนด้วย กล่าวว่า
ในชีวิตของผู้ชาย จะมีความรักใหญ่ๆ สามครั้ง

ครั้งแรกคือความรักแบบปั๊ปปี้เลิฟนี้
ครั้งที่สอง คือความรักคนที่จะทำให้เราได้แต่งงานด้วย
และครั้งที่สาม คือความรักที่จะนำไปสู่ความตาย
(หมายถึงความรักที่มากกว่าความรักครั้งที่สองแต่เวลานั้น เราได้แต่งงานแล้ว)

หนังเสนอรักแบบปั๊ปปี้เลิฟ
รักที่วัยไม่พร้อม

แต่ก็จริง นี่เป็นรักที่เกิดกับเด็กๆ ทั่วไทย และทั่วโลก
มันมีจริง มันเป็นไปได้ และเข้าถึงได้ง่าย
อารมณ์ร่วมของเด็กวัยนี้น่าจะเยอะ และน่าจะส่งให้หนังขาย

แต่ปัญหา ถ้าหนังส่งสู่คนที่อยู่ในวัยที่โตหน่อย
จะมองรักแบบนี้อีกแบบ

...ทำไมเราไม่แสดงออกมากกว่านี้
…ตอนนั้น ถ้าเราพูดออกไปตรงๆ ถ้าเรา.. และอื่นๆ

ด้วยความที่ตอนนั้น ยังเรียน ขอเงินพ่อแม่
ไม่มีงานทำ ไม่มีความรู้
ยากที่จะคิดเรื่องความรักแบบจริงๆจังๆ

ถ้าตอนนั้น ณ จุดนั้น
มีตัวเลือกที่ดี มีคนที่รัก
แต่เพราะข้อจำกัด ทำให้ไม่กล้าที่จะแสดงตัว
อาจทำให้ชีวิต พลาดจากสิ่งที่ควรจะไม่พลาดไป

มันคือความพยายามพัฒนา รักสามครั้ง
จากรักครั้งที่หนึ่งไปเป็นครั้งที่สองด้วย
(ปั๊ปปี้เลิฟ --> คนที่จะแต่งงานด้วย)
ไม่นับครั้งที่สาม ที่ไม่แน่ว่าจะมีทุกคนไป
แต่ผมเชื่อว่ามีจริง คนที่ใช่กว่า มาเจอทีหลังเนี่ย
ว่าไปก็ธรรมดานะ โลกนี้มีเรื่องแบบนี้ทุกวัน

ว่ากันด้วยเรื่องความต่อเนื่องของหนัง ต่อดีกว่า
หนังเรื่องนี้ ค่อนข้างทำออกมาได้ลื่นไหล แต่ก็ยังติดขัดเล็กน้อย
จุดที่ขัดความรู้สึกพอสมควรที่รู้สึกได้ชัด
คือเรื่องการไปเล่นคอนเสริตส่งลาการลาออกจากวง แอชโฮ(ลี่)
ของตัวพระเอกในเรื่อง หลังจากบอกเพื่อนสนิททั้งสองว่า
จะลาออกเต็มตัว จะไปเล่นคลาสสิกแทน
ที่แปลกคือ มีนางเอกทั้งสองคนไปเต้นด้วย โดยเวลานั้นเป็นกลางคืน
นางเอกทั้งสองไม่ได้อยู่หอพักไม่ใช่หรือ (ถ้าจำไม่ผิด นั่งรถมา รวยด้วย)
มันเลยดูจะไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไหร่
อุปกรณ์ต่างๆที่เอาไปเล่น ขนกันไปเองเหรอ อันนี้ก็โอเค
แปลกใจอยู่บ้างแต่ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ แต่สรุป งงๆ
เหมือนกับโยนแก๊ก ไอเดียร์เข้ามาเพราะอยากให้มี
โดยไม่สมเหตุผลเท่าไหร่ จริงๆไม่ได้จับผิด
แต่มันเห็นชัดเองมากกว่า

ดารารับเชิญ..
ไม่ว่าจะเป็นแจ๊ค แฟนฉัน ที่มาเล่นแซก
ตอนพระเอกโทรศัพท์ปลอมตัวเป็นต้น ไปหานางเอก(ดาว)
ยังคงเส้นคงวา เล่นได้ตลกเหมือนเดิม
หรือแม้แต่พี่บอยด์ เบเกอรี่ ก็มาเป็นแขกรับ(ฟัง)เชิญ
ตอนวงคลาสสิก ที่พระเอกร่วมเล่น ได้แสดง
หรือจะเป็น พี่ป้อม อัสนี แห่งมอมิวสิก
ก็มาเล่นตอนจบ (ตอนแสดงเหตุการณ์หลังจากนั้น)

นิดนึง คำถาม...ที่ผมว่าคุณเองก็น่าจะถามตัวเองเหมือนกัน
หลังจากดูหนังจบแล้ว
ถ้าคุณเป็นพระเอกในเรื่อง
คุณจะเลือก อ้อม หรือ ดาว

...











สำหรับผม...

ผมเลือกอ้อม เหมือนในหนัง และจะมีฉากคุยเรื่องที่เคยทำผิด
ฉากเคลียร์ปัญหา และมองตากันด้วยความรัก
และจะมีฉากกอดกันด้วย (ด้วยความรัก ไม่ใช่ความใคร่)

ผมว่าหนังดีมาก แต่ไม่ถึง เพราะขาดสองฉากนี้แล :P

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น