ธันวาคม 28, 2550

Happy New Year 08

Dear all readers,

I've been writing this blog for a couple of years so I think I should give
you some happy lucky deedy doo to you all. Wish you have good life, good
friends, good work, good hobby, good health and for all, don't betray your
love friend.

Love you all,

Nhephex!!!

ธันวาคม 25, 2550

new year.. new life .. new style of life ... new .... new

จะพยายามเปลี่ยนแปลงครับ

หลายอย่างในชีวิตในปีที่ผ่านมายอมรับว่าไม่ดี
อยากแก้ไข และทำอะไรดีๆให้กับตัวเองบ้าง
อย่างน้อยที่สุด เรื่องการออกกำลังกาย อยากให้เข้มงวดกับตัวเองกว่านี้
ไม่ปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอ
เพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต

ธันวาคม 23, 2550

เมื่อไหร่น้องจะกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีของพี่ดังเดิม

ถึงน้องตีหัวเขียว

เมื่อไหร่จะเลิกนินทาลับหลังกับเพื่อนที่มาสนิททีหลัง
เพราะมันแค่เดินไปส่งเอารถและให้ขนมไหว้พระจันทร์ที่แม่ทำมาให้เสียที
ขอบคุณ

กุ๊กไก่กระโดดตบ หุหุหุ

ธันวาคม 21, 2550

Art is MY COLLEAGUE ... so what you mXXX fXXER!

Happy?

Enjoy?

Go to hell you bastard.

You know who you are ?

I know what you do?

I do what you fear?

So what?

You mxxxx fxxxer!!!

ธันวาคม 19, 2550

Art is?

ศิลปะเป็นสิ่งสวยงามในใจคนที่ซึมซับมันเข้าไปได้ในความเข้าใจของตัวเ
เป็นปัจเจก ไม่ใช่มวลรวม

งานศิลปะที่ดีคืออะไร ถ้าไม่ใช่กำหนดด้วยปัจเจก
ผมไม่เชื่อว่างานที่ขายได้เยอะๆ หรืองานที่ได้รับรางวัลมีค่ากว่า
งานที่ทำออกมาแล้วคนส่วนมากไม่ชอบ
หากแม้นไม่ใช่เรื่องของการทำร้าย เรื่องเลวทราม
เชื่อเหลือเกินว่า บางคนอาจเห็นค่าสิ่งนั้น แม้คนอื่นราวถูกบังตา
ผมเชื่อจริงๆ

ธันวาคม 18, 2550

ยังโลกนี้เพียงมีใคร

ความฝัน ภาพที่... ดำเนินต่อไปในสมองยามนั้น
ฝันที่ว่า ฝันเกี่ยวกับ โลกที่ผมอยู่ มีเพื่อนที่ผมรัก ที่อยู่ข้างผม

ฟ้ายังคงมีสีเทาผสมในกลุ่มเมฆบนหัว
ดินยังผสมด้วยทราย เศษกระดาษ และขี้บุหรี่!

ผมไม่หวังอะไรจากใคร เพราะภาพที่เห็น ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
เธอยังคงเป็นเธอ เพื่อนที่จากไป...

ถ้าเรายังอยู่ด้วยกันที่นี่
วันที่ผมมีงานเพลงออกมาจริงๆ
เธอจะรู้สึกอย่างไร...?

ธันวาคม 17, 2550

ฮ่องกง 2007

ระหว่างวันที่ 11-15 ธันวาคม ที่ผ่านมา ผมไปเที่ยวฮ่องกง
เป็นการไปฮันนีมูนครั้งที่ 3 โดยเว้นช่วงปีที่แล้วไม่ได้ไป เพราะเป็นช่วงที่ลูก
สาว
สุดน่ารักเกิดมา เลยงดเที่ยวกันปีนึงครับ

บรรยากาศที่ฮ่องกงย้งคงเหมือนเดิม รู้สึกว่า เป็นที่ที่มีดีกว่าการ Shopping
ถ้าเรารู้จักเลือกจะใช้เวลาที่นั่น แต่ที่แน่ๆ ไปคราวนี้ เหมือนไปเที่ยวสวนสนุก
โดยไปทั้ง Disney Land และ Ocean Park

สำหรับข้อสรุปคือ Ocean Park ทำดีกว่า ใหญ่กว่า มีของเล่นหลายระดับ
คือมีทั้งแบบหวาดเสียวมากๆ และแบบเด็กๆ อย่างชิงช้าสวรรค์
และยังมีสวนสัตว์ อาหารขายหลากหลายกว่า
คือดีกว่าในแง่ของ Feature แต่เหมาะกับวัยรุ่นหรือวัยที่ยังสนุกหนักๆไหว

ส่วน Disney เล็กกว่า แพงกว่า สู้ Disney ของประเทศอื่นๆ ไม่ได้
(โดยเฉพาะที่ Florida ที่ใหญ่และเจ๋งมากๆ)
ของเล่นก็เด็กๆ ไม่มีสวนสัตว์ บัตรแพงกว่า Ocean Park อีกด้วย

แนะนำไปเลย สำหรับคนยังไม่เคยเข้าทั้งสองที่
Ocean Park คือคำตอบสุดท้ายครับ (ผมให้ 5 ดาว ดิสนี่ให้ 3 ดาว)

:)

ธันวาคม 07, 2550

ทำไมคนเลวตายยาก คนดีตายง่ายดาย

ผมคิดว่า ผมเป็นคนเลว ผมทำในสิ่งเลวทั้งที่รู้ว่ามันเลว มันผิด มันไม่ดี
ผมคิดว่า ทำไม บางคนที่เป็นคนดี ที่มีความดี คิดดี ทำดี แบบเพื่อนผม
ต้องประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในวันที่ผมกับภรรยา ไปดูหนังเรื่องแรกด้วยกัน
เมื่อประมาณเกือบ สิบปี ก่อน

ผมคิดว่า สวรรค์ไม่ต้องการให้คนดีใช้กรรมนานนัก
คนดีต้องตายเร็วเสมอ ทำดีมาก ก็อยู่ในโลกนี้น้อย เพราะต้องไปเสวยสุขในสวรรค์แทน
คนเลว ต้องรับใช้กรรม ที่ตัวก่อ ต้องอยู่ในโลกนี้ต่อไป รับรู้ความเจ็บ ความ
เศร้า ต่อไป
มันฟังดูไม่ค่อยแฟร์เลยใช่ไหม หรือว่าผมคิดผิด?

ในความร้อนของฤดูหนาว

นี่คือฤดูหนาวใช่หรือไม่
นี่คือลมหนาว ลมแห่งความหนาวเย็น
แสงแดดตอนกลางวันคือความร้อนระอุ
เธอกำลังกลับไปสู่ตัวตนที่เธอเป็น
ความเย็นในใจ คือความร้อนในกาย
โอกาสเสี่ยงสูง ถ้าทำร้ายจิตใจ
พบความสุขได้แม้ต้องพรากจากเพียงชั่วคราว
หรือว่านี่คือความร้อนของฤดูกาล

เราไม่มี Cool Pad... แบบ USB

ธันวาคม 06, 2550

สุสานเสื้อผ้าไร้คนเหลียวแล

ผมเดินที่แพลตตินัมประตูน้ำกับหุย เธอกำลังเดินเลือกเสื้อผ้า
สายตาผมเหม่อลอย มองไปที่เสื้อผ้าจากหลายร้าน
บางชุดผมมองแล้วไม่สวยเลย และผมก็หลับตาลง

...

จริงๆแล้ว หลังจากร้านปิด เสื้อผ้าที่ไม่มีคนซื้อเกิน 30 วัน
จะถูกขนไปส่งที่สถานที่มืดทึบ ไกลผู้คน เรียกกันว่า
สุสานเสื้อผ้าไร้คนเหลียวแล

เสื้อผ้าดีไซน์ห่วย แม้แต่คนไม่มีรสนิยมที่สุดก็ไม่ซื้อไปใส่
จะถูกนำมากองรวมกัน และส่งไปที่สุสานแห่งนี้
เพียงเพื่อปลดปล่อยวิญญาณของพวกมัน
ให้เร่ร่อนไร้ร่างสิงสถิต

...

ผมลืมตาอีกครั้ง... จดสิ่งที่เห็นลง PDA phone
แล้วนำกลับมาบันทึกในบล็อก...

ขอให้ดวงวิญญาเสื้อผ้าดีไซน์ไม่เอาไหน สีเห่ย

ไปสู่สุขคติ... เถิด

ธันวาคม 03, 2550

คำสัญญากับตัวเอง

ไม่มีน้ำใจให้
ไม่จำเป็นไม่ต้องตอบ
ไม่จำเป็นไม่ต้องถาม
ไม่จำเป็นไม่ต้องให้อะไร แม้จะขอ ต้องปฏิเสธ

ความจริงคือ เรามีชีวิตอยู่อย่างทรมานในโลกนี้อยู่แล้ว
ทำไมยังต้องไปทำอะไรเพื่อคนเลวที่คอยด่าลับหลังเรา
ทั้งๆที่เราดีด้วย?

แบบนี้จะทำไปเพื่ออะไร

ฉันยังเป็นเด็กน้อย....

น่าจะเป็นเพราะผลกรรม
ทำให้เรารู้แล้วว่า ความจริงคืออะไร
ก็ดีเหมือนกันที่

วันนี้ เพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ไม่มา
เราต้องข้ามวันนี้ให้ได้
ซักวัน .. ความฝันกับความจริง
คงทับซ้อนกันได้จริง
เหมือนสมัยที่เราเคยมี

ธันวาคม 02, 2550

การบันทึกเสียงใต้ฝุ่นแบนด์กีตาร์ จบลง ประสบการณ์ดีๆ ไม่หายไป

วันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นการอัดเสียงกีตาร์ส่วนสุดท้าย
ปิ๊กกิ้ง (เกา) เพลง Bad Bangkok Blues ที่ผมถือว่า
เป็นงานที่โหดที่สุด เพราะต้องแกะ Demo ตัวเอง
มาเป็นโน้ตดนตรี (แบบที่ตัวเองเข้าใจ เป็นการผสมระหว่าง
โน้ตแบบ tab กับ การเขียนแบบเข้าใจคนเดียว (ฮา) โดยมี
กระชายช่วยผมแกะด้วย เมื่อวันศุกร์ ที่ 23 พ.ย. 50 ที่ห้องอัดเสียง
แล้วผมก็เอากลับไปซ้อมที่บ้านอาทิตย์นึง)

วันเสาร์ที่ 1 ธ.ค. กำหนด อัดเพลงนี้ โดยผมมาถึงห้องอัดเวลาประมาณ
บ่ายโมงสิบห้า มีการซ้อมและแก้ไข ส่วนบางส่วนที่ผมแกะ
แล้วจำส่วนการเล่นไม่ได้ จึงมีแต่โน้ต แต่ไม่รู้จังหวะ
กว่าจะได้เริ่มอัดเสียงจริงๆ ก็ประมาณบ่ายสี่โมง โชคดีที่
การหาตำแหน่งไมค์ เพื่อให้ได้ซาวน์ที่ต้องการ ทำได้รวดเร็ว(มาก)
เพราะเป็นตำแหน่งเดิมกับอาทิตย์ก่อนๆ คืออัดนอกห้อง (ปลายบันไดบ้าน)

ยอมรับว่า การเตรียมตัวมาดี ทำให้การอัด สามารถทำได้เร็วขึ้นจริง
แต่ส่วนที่เล่นไม่ได้ ก็ยังคงเล่นไม่ได้ (เล่นไม่ได้เพราะ กดไม่ไหวจริงๆครับ
เสียงเลยบอด ต้องอัดซ่อม จี้ที่จุดเสียๆ ดังกล่าว คอร์ดที่ว่า คอร์ด Fm)
การอัดช่างทรมานเป็นพิเศษ เพราะนิ้วที่มี ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้
สามารถกดคอร์ด Fm แล้วไม่บอด ! ลองแม้กระทั่งให้ปริน
ช่วยกดเฟรตหนึ่งให้! (เห็นนิ้วปรินสั่นแล้วสงสารแท้ T_T)
เป็นปกติวิสัยของผมอยู่แล้วในการอัดกีตาร์ของวงไต้ฝุ่นแบนด์
ว่าผมเจ็บนิ้วง่ายมาก แต่แปลก เพราะการซ้อมมา ทำให้นิ้วผมทนขึ้นกว่าเดิม
และกีตาร์ที่ใช้อัดวันนี้ คือเจ้า ไอบาเนส เพื่อนยากของผมเอง (แข็งโคตรๆ แต่
ยังดีกว่าเจ้าออสติน ของห้องอัด ที่ผมยอมแพ้แต่โดยดี ไม่สามารถจริงๆ
เหมือนกดหินเลย แข็งแบบชาตินี้ต้องไปเล่นกล้ามนิ้วมาก่อน คงจะกดไหว ฮ่าๆ)

ผมว่างานนี้ เมื่อออกมาเป็นซีดี ผมคนหนึ่ง ที่มีความรู้สึกรักและผูกพันกับมัน
ไม่ใช่แค่ผมเป็นคนเตรียมดนตรี (หมายถึงทำนองแบบ Draft ๆ ) เท่านั้น
แต่เป็นเพราะ กว่าจะได้มาเป็นเสียงที่คุณได้ยินได้ฟังกัน นิ้วผม ถูกใช้ไปอย่างบ้าคลั่ง
เหมือนเอานิ้วไปออกรบที่สนามรบ ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยสู้เรื่องความเจ็บนิ้ว
เวลาทำเพลง มักไม่พิถีพิถัน ไม่พยายามเล่นให้เพอร์เฟค แต่เล่นแค่ตัวเองยังไหว
ถ้ารู้สึกเจ็บปวดทรมาน มันไม่ใช่ความสุขแล้ว ดนตรีในความรู้สึกผม คือความสุข
หรือไม่ก็การระบายออกซึ่งอารมณ์ต่างๆ (มักจะไปในทางความรักซะ 90%)
ถ้าเมื่อไหร่มันแว้งกัดผมด้วยการเจ็บนิ้ว ผมจะหยุด และไม่ทำต่อ (ไว้ต่อวันหลังๆ)

ย้อนไปช่วงที่ผมตะลุยอัดกีตาร์ทั้งอาทิตย์ ตอนเย็นหลังเลิกงาน
คือ 20-24 ธ.ค. ตั้งแต่ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ถึงเที่ยงคืนหรือไม่ก็ห้าทุ่ม ไม่เร็วกว่านั้น
เป็นช่วงเวลาที่สุดยอดแห่งความ..เอ่อ จะเรียกว่าสุขปนทุกข์ปนง่วงดีมะ ฮ่าๆ
คือสุข ก็เพราะ มันเป็นงานที่ไม่ใช่งาน แต่เป็นการได้เล่นดนตรี เป็นสิ่งที่ตัวเองรัก
และเป็นโอกาสที่น้อยครั้งหรืออาจจะไม่มีซักครั้งในชีวิต ที่ได้ทำดนตรีจริงจังขนาดนี้
ต้องขอบคุณพี่คุ่นสำหรับข้อนี้ เพราะถ้าพี่คุ่นไม่สนใจทำดนตรีกับผม และรู้จักกับ
กระชาย ติดต่อให้เขาทำเพลงให้ ผมคงไม่มีวันนี้ สำหรับทุกข์ คือการที่ต้องทรมานตัวเอง
แทนที่จะได้อยู่บ้านตอนเย็น เพื่อหลับนอน ไปทำงานในวันถัดไป แต่ต้องอดทน ไปอัดเพลง
หลังเวลางานประจำ คือผมไม่ได้เอารถไปทำงาน ก็เลยต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปเอารถที่บ้านก่อน
หรือไม่ก็แวะไปเอารถที่บ้านแม่หุย (บางคืนหุยมาอยู่บ้านแม่ เพื่อหาน้องเฟย์ลูกสาว และเอารถมาด้วย)
ก่อนที่จะขับบึ่งไปลาซาน เพื่ออัดงาน กลับบ้านก็ไม่ต่ำกว่าเที่ยงคืน ทั้งอาทิตย์เลย
ดีที่ว่า เป็นเวลาแค่ห้าวันสุดโหด หลังจากนั้น ก็ได้พัก มาซ้อมเพลงสุดท้ายทั้งอาทิตย์
และความสุขปนทุกข์ดังกล่าว ก็ได้สิ้นสุดลงเสียแล้วครับ เพราะส่วนกีตาร์ผมหมดลงแล้ว
ที่เหลือตอนนี้ที่จะทิ้งช่วงให้กระชาย และปริน ตัดเพลงและอัดส่วนอื่นๆที่ยังไม่ครบก่อน
แล้วผมค่อยมาอัดต่อ ส่วนสุดท้ายที่ยังไม่ได้อัดไปเลยแม้แต่นิด
ก็คือส่วนของการร้องประสานเสียง ที่ผมรับปากกระชายว่า จะไปแกะส่วนวิธีการร้องประสาน
ให้เหมือนกับเดโม (อีกแล้วครับทั่น!) มาให้ได้ ฮ่าๆ เป็นความต้องการของพี่คุ่นนั่นเอง

แต่จริงๆนะ นี่เป็นอีกวิธีการทำเพลงที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย ทั้งชีวิตการทำงานเพลง
คือแต่ก่อน ผมแต่งเพลง ผมจะแบ่งเพลงของผมเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ แก่นเพลง
หมายถึงเมโลดี้หลักของเพลง หมายถึงทำนองการร้องนำ รวมทั้งส่วนที่เป็นท่อนลี้ด
ส่วนที่สองคือ ดนตรีประกอบ ผมไม่เคยให้ความสำคัญกับดนตรีประกอบเลย
ผมถือว่า เล่นแต่ละครั้ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ผมทำเดโมแบบนึงไว้
ถ้าเวลาจะอัดจริง ผมก็เล่นใหม่อยู่ดี ตามแต่ที่ขณะนั้น หัวผมคิดอะไรได้ ซึ่งผมพลาดไป

การได้ทำงานกับกระชายและปริน มีความรู้ใหม่สำหรับผม นั่นคือ
กระชายให้ความเห็นว่า การทำเพลงร่างแรก มันจะสด และไอเดียร์ตอนนั้น
เป็นอะไรที่เราต้องให้ความสำคัญกับมัน เพราะมันจะเจ๋ง และจริง
ถ้าเราสามารถจับส่วนนั้นออกมาให้ได้เหมือนที่สุด ตอนทำเพลงจริงๆ
จะเป็นอะไรที่ดี และทำให้เพลงมีพลังเหมือนตอนที่มันกำเนิดมาในโลกนี้ (จากเรา)
ซึ่งผมว่าเป็นมุมมองใหม่สำหรับผม และผมก็จะพยายามคิดแบบนี้
จริงๆยังมีเพลงบางเพลงที่ผมไว้และผมอยากเอามาอัดใหม่ดีๆ
ซึ่งผมลองฟังเสียงดนตรีประกอบ ที่ผมทำไว้แบบตั้งใจ ผมว่ามันก็เจ๋งไม่เลวเลย
และยอมรับว่า แปลกดี ไม่มี pattern แน่นอน ฟังดูมั่วๆ แต่ลง
ถ้าเราเอามาเกลา โดยให้ความสำคัญกับมัน ผมว่าไม่เลวเลยจริงๆด้วย!

ก็คงเป็นการเล่าที่ค่อนข้างยาว เพราะไม่ได้อัพเดทบล็อคมานานแล้วด้วย
ถือว่าวันนี้มาอัพเดทแบบให้หายคิดถึงเลยแล้วกัน (มีใครคิดถึงด้วยเหรอเนี่ยฮ่าๆ)

ถ้าวันไหนไปอัดเสียงร้องประสาน จะมารายงาน (ไม่สด) ให้อ่านกันอีกครับ
บุญรักษา...ง่าาาาาาาาาาาาาา